วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

หุ้นสะท้านปิดเมือง ดัชนีร่วงวูบ68จุด วันเดียวมาร์เก็ตแคปวูบ 4.8 แสนล. ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 03 มกราคม 2557

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: หุ้นสะท้านปิดเมือง
ดัชนีร่วงวูบ68จุด
วันเดียวมาร์เก็ตแคปวูบ 4.8 แสนล.
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 03 มกราคม 2557
ผู้เข้าชม : 11 คน
ตลาดหุ้นไทยผงะข่าวม็อบ “เทพเทือก” ปิดเมือง ดัชนีร่วงกว่า 67.94 จุด ส่วนมูลค่าตลาดเฉพาะวานนี้วันเดียว (2 ม.ค.) หายวับ 4.8 แสนล้านบาท หากรวมนับจากวันเริ่มชุมนุม 31 ตุลาคม 2556 ถึงล่าสุด หายแล้วกว่า 1.59 ล้านล้านบาท ด้าน “จรัมพร” ยังไม่มีมาตรการอุ้มอะไรเพิ่มเติม ปล่อยตามธรรมชาติ ขณะที่ต่างชาติหวนกลับมาซื้อสุทธิ 129 ล้าน ด้านโบรกฯ กุมขมับกับการเมือง แนวรับจ่อหลุด 1,200 จุด



วานนี้ (2 ม.ค.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปิดลบ 67.94 จุด มาที่ 1,230.77 จุด ซึ่งเป็นดัชนีที่ต่ำสุดของวัน และนับเป็นดัชนีที่ต่ำสุดตั้งแต่ 1,227.48 จุด เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 55 ขณะที่ดัชนีสูงสุดของวันนี้ อยู่ที่ 1,292.77 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 33,513.75 ล้านบาท

ส่วนนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 124.59 ล้านบาท

ขณะที่มาร์เก็ตแคป หรือมูลค่าตลาดหลักทรัพย์วานนี้ วันเดียวหายกว่า 4.8 แสนล้านบาท และหากนับตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2556 ซึ่งเป็นวันแรกที่กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเริ่มชุมนุม มูลค่าตลาดหายแล้วกว่า 1.59 ล้านล้านบาท

การร่วงลงของดัชนี SET ดังกล่าว ถือว่าเป็นการร่วงมากที่สุดในรอบ 6 เดือนเศษ หลังที่ครั้งสุดท้ายคือวันที่ 11 มิถุนายน 2556 มีการร่วงลง 75.92 จุด หรือ 4.97% แต่ถ้าหากวัดจากอัตราส่วนเปอร์เซ็นต์แล้ว ถือว่าเป็นการร่วงที่มากสุดในรอบ 25 เดือน รองลงจากวันที่ 26 กันยายน 2554 ที่ร่วงลงไปถึง 5.65% ขณะที่วานนี้ร่วงลงไป 5.23%

ปัจจัยที่ส่งผลรุนแรงมากที่สุดหนีไม่พ้นการประกาศของแกนนำผู้ชุมนุมที่ระบุว่าจะทำการปิดกรุงเทพฯในวันที่ 13 มกราคม เป็นต้นไป และขอให้คนกรุงเทพฯบางส่วนอพยพออกไปอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งมีเค้าว่าอาจจะมีการก่อความรุนแรงที่ไม่คาดฝันขึ้นมาได้ นักลงทุนสถาบันที่ขายค่อนข้างมาก มองว่าจะทำให้ขาดทุนได้ง่าย จึงเล็งขายตัดขาดทุนออกมาก่อน เพื่อจะไปรับซื้อที่ดัชนีต่ำลงไปเพื่อความปลอดภัย จึงเห็นแรงเทขายของกองทุนเมื่อวานนี้มากกว่าปกติ

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า สาเหตุที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ร่วง 67.94 จุด หรือ 5.23% ดัชนีปิดที่ 1,230.77 จุด เนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจที่ถดถอย และค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ล่าสุดประกาศตัวเลข GDP เหลือ 2% กว่า จากเดิมคาดไว้ที่ 3% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายต่อเนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 55 ถึงสิ้นปี 56 เกือบ 2 แสนล้านบาท และมีตัวเลือกที่จะไปลงทุนประเทศอื่นเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เวียดนาม ที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแล้ว

ขณะที่เรื่องการเมืองภายในประเทศยังคงเป็นปัจจัยหนักสุดที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเลือกที่จะไปลงทุนที่อื่นก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ค่อยกลับมาลงทุนใหม่

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน P/E ตลาดหุ้นไทยขณะนี้ลงมาอยู่ที่ 11 เท่า จากก่อนหน้านี้ที่ 13 เท่า จึงมองว่าเป็นโอกาสของนักลงทุนระยะยาวที่จะเข้ามาซื้อในช่วงที่นักลงทุนตื่นตกใจเทขายออกมา จากความไม่แน่นอนทางการเมือง

นายจรัมพร กล่าวยืนยันจะเปิดทำการซื้อขายหุ้นตามปกติในวันที่ 13 ม.ค.นี้ แม้กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.จะออกมาประกาศว่าจะทำการปิดกรุงเทพฯด้วยการยึดสถานที่ทำการสำคัญต่างๆ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์มีมาตรการและเจ้าหน้าที่เพื่อรักษาความปลอดภัยต่างๆ เพื่อรองรับกับการชุมนุมไว้หมดแล้ว

"นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเคยมีการปิดล้อมตลาดหลักทรัพย์มาก่อนแล้วเมื่อช่วงการชุมนุม ในปี 2553 และเราก็มีมาตรการเข้มงวดและรัดกุมไว้สำหรับการดูแลความสงบ ซึ่งหากกลุ่มผู้ชุมนุมจะมาปิดล้อมจริงก็ขอให้อยู่ภายใต้ความสงบเหมือนที่ประกาศไว้ อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายของประเทศก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และตลาดจะยังทำการซื้อขายตามปกติ ระหว่างนี้อย่าเพิ่งไปคาดเดาเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยังมาไม่ถึง" นายจรัมพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม อยากให้นักลงทุนปรึกษากับนักวิเคราะห์เพื่อประเมินว่าจะมีการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนอย่างไร ซึ่งตอนนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาแรงยังเป็นจุดที่ไม่เหมาะสมที่จะขายออกมา แต่เป็นจังหวะที่ควรซื้อลงทุนระยะยาว

นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดวันนี้ (2 ม.ค.) ลงแรง มาจากประเด็นเรื่องการเมือง ที่กปปส.จะชุมนุม เพื่อปิดกรุงเทพฯ รวมถึงฝ่ายรัฐบาลก็เตรียมที่จะประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงทำให้นักลงทุนมีความกังวลต่อการลงทุน

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากแรงขายของกองทุน LTF ที่ครบอายุ 5 ปี ได้มีการขายหุ้นออกมา โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำให้รอดูสถานการณ์ยังไม่ควรเข้ามาลงทุน ขณะที่นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ ก็ให้ถือต่อไป เพื่อรอให้ตลาดดีดกลับ

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ซึ่งยังไม่มีความไม่ชัดเจนเรื่องการเลือกตั้ง ส่งผลให้มีความกดดันต่อการลงทุนในประเทศ และทำให้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจยังคงล่าช้าต่อเนื่อง ประกอบกับหมดช่วงของการซื้อกองทุนไปเมื่อสิ้นปี 2556 ทำให้ไม่มีปัจจัยเข้ามาสนับสนุนตลาด

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองยังคงคาดการณ์ได้ยาก โดยขึ้นอยู่กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), กลุ่มผู้ชุมนุมประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) และรัฐบาลรักษาการที่ต้องไปเจรจาหาทางออกในเรื่องดังกล่าวกัน หากเลือกตั้งไม่ได้จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และผลกระทบมาตรการทางเศรษฐกิจของประเทศได้

ทั้งนี้ มองดัชนีแนวรับไว้ 1,200 จุด และแนวต้าน 1,250 จุด โดยในระยะสั้นถ้านักลงทุนสนใจที่จะลงทุนแนะนำหุ้นกลุ่มที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เกษตร ปิโตรเคมี และเลี่ยงลงทุนในกลุ่มที่พึ่งพิงการเติบโตในประเทศ ซึ่งค่า P/E โดยเฉลี่ยยังอยู่ที่ 12 เท่า จากปี 56 ที่อยู่ 12.8 เท่า ซึ่งปีนี้ยังเชื่อว่า P/E จะอยู่ที่ 11.9 เท่า ส่วนมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 11.49 ล้านล้านบาท

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า แนวโน้มของดัชนีตลาดหุ้นไทยจะยังคงปรับตัวลดลง โดยขณะนี้มีเพียงปัจจัยทางการเมืองที่กดดันดัชนีโดยตรง หากนักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้ก็พิจารณาข่าวรายวันก่อนการซื้อ-ขาย ซึ่งเน้นหุ้นที่มีผลประกอบการไตรมาส 4/56 และให้ปันผลดี เช่น BEC, BTS

ส่วนปัจจัยต่างประเทศยังไม่มีน้ำหนักต่อตลาดในช่วงนี้ต้องติดตามในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า เกี่ยวกับการพิจารณามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้รอเข้าซื้อหุ้นเป็นรายตัวตามการรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/56 ซึ่งประเมินแนวรับที่ 1,230 จุด และแนวต้านที่ 1,268 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,275 จุด

นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยหากการเมืองยังคลุมเครือ และมีความเสี่ยงปกคลุมอยู่ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสแกว่งตัว sideway down แต่ขณะนี้ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,250 จุด อาจจะเกิดเทคนิเคิลรีบาวด์ แต่หากไม่สามารถขึ้นไปเหนือ 1,300 จุด ก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงต่อ

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวน แต่อาจเห็นระหว่างวันหุ้นเด้งขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่ก็มีแนวโน้มที่หุ้นไทยจะลงต่อเนื่องได้ เนื่องจากเป็นช่วงท้ายสัปดาห์นักลงทุนจะชะลอการลงทุน ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนแนะนำชะลอการลงทุน โดยเฉพาะเก็งกำไรระยะสั้นให้แนวรับที่ 1,200 จุด แนวต้านที่ 1,250 จุด

posted from Bloggeroid

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น