4 หุ้นควรเฝ้าระวัง ขาดทุนยับ-อนาคตไม่สดใส
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจหุ้นควรเฝ้าระวังสำหรับการลงทุนในช่วงที่ตลาดกำลังผันผวน โดยอิงกับข้อมูลผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2557 งวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2557 พบว่า มีหุ้นอยู่ 4 ตัวที่ควรแก่การพึงระวัง หากจะลงทุน เนื่องจากประสบภาวะพลิกขาดทุนอย่างหนักในปีที่ผ่านมา (2557) และแผนธุรกิจสำหรับปีนี้ (2558) ยังไม่มีความชัดเจนว่า บริษัทจะสามารถกลับมามีกำไรแบบยั่งยืนได้จริงไหม?
1. WIIK ซึ่งรายงานผลการดำเนินงานปี 2557 มีผลขาดทุนสุทธิ 6.27 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.0209 บาทต่อหุ้น พลิกขาดทุนจากปีก่อนหน้า (2556) ที่มีกำไรสุทธิ 0.12 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.0004 บาทต่อหุ้น ส่วนสาเหตุของการขาดทุน เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนในการขายเพิ่มขึ้น อีกทั้งราคาของวัตถุดิบต่างๆ ในประเทศมีการปรับตัวขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
ขณะที่ ราคาหุ้น WIIK ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาถือว่า ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ โดยปรับตัวขึ้นแรงเป็นบางครั้งตามการเข้าสร้างราคาของกลุ่มนักลงทุนบางกลุ่ม ซึ่งใช้ระยะเวลาในการทำราคาแค่ช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นราคาหุ้นมักปรับตัวลงแรง จนลงมาอยู่ในระดับที่ถูกสะท้อนโดยปัจจัยพื้นฐาน เมื่อดูงบการเงินย้อนหลังจะพบว่า ในปี 2554 บริษัทขาดทุนกว่า 43.20 ล้านบาท ต่อมาในปี 2555 ขาดทุนอีก 9.70 ล้านบาท ส่วนปี 2556 พลิกมีกำไร 0.12 ล้านบาท และล่าสุดในปี 2557 พลิกกลับมาขาดทุนอีกครั้งเป็นจำนวน 6.27 ล้านบาท
2. TLUXE รายงานผลการดำเนินงานปี 2557 มีผลขาดทุนสุทธิ 10.67 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.02 บาทต่อหุ้น เมื่อเทียบกับปี 2556 มีกำไรสุทธิ 43.61 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.10 บาทต่อหุ้น ส่วนสาเหตุของการขาดทุน เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายลดลง โดยผลกระทบหลักมาจากการเกิดโรคระบาดในกุ้ง ส่งผลให้จำหน่ายอาหารกุ้งได้น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนในปีนี้ TLUXE ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ บริษัท นูทริกซ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์ป้อนเข้าสู่ตลาดมากถึง 2-4 หมื่นตันต่อปี โดยคาดว่าจะสามารถดันยอดขายเพิ่มเติมในปีนี้ได้อีกราว 440 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ตัวเลขจากการคาดการณ์รายได้ในส่วนเพิ่มเติมเป็นเพียงแค่ตัวเลขที่อ้างอิงจากกำลังการผลิตที่จะสูงขึ้น แต่ในด้านความเสี่ยงที่แท้จริงคือ บริษัทอาจต้องเผชิญกับความยากลำบากในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังต่างประเทศ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังถือว่าชะลอตัวอยู่ จึงส่งผลให้ความต้องการไม่ได้มีมากขึ้นตามการผลิตแต่อย่างใด
3. TVD ซึ่งรายงานผลการดำเนินงานปี 2557 มีผลขาดสุทธิ 10.67 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.02 บาทต่อหุ้น พลิกขาดทุนจากปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 41.21 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.08 บาทต่อหุ้น ส่วนสาเหตุของการขาดทุน เนื่องจากบริษัทมีต้นทุนในการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น รวมไปถึงต้นทุนในการให้บริการก็ปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย
ขณะเดียวกัน TVD ยังคงเน้นการทำธุรกิจผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ Direct Shopping หรือการขายสินค้าผ่านทางโทรทัศน์ Online Shopping หรือการขายสินค้าผ่านสื่อออนไลน์ และ Retail Shopping หรือการขายสินค้าผ่านร้านทีวี ไดเร็ค โชว์เคส ซึ่งอุปสรรคของธุรกิจประเภทนี้ อยู่ตรงการแข่งขัน ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการจำหน่ายทางโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น หรือสื่อโซเชียลเน๊ตเวอร์กต่างๆ ดังนั้นจึงถือเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อการเติบโตของบริษัท
นอกจากนี้ ในส่วนของ Direct Shopping ซึ่งเป็นช่องทางขายหลักของบริษัท อาจต้องเผชิญกับความยากลำบากในการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการธุรกิจประเภทนี้หลายเจ้าสามารถเข้าถึงการใช้พื้นที่โฆษณาและจำหน่ายทางโทรทัศน์ได้สูงขึ้น จากการที่มีช่องฟรีทีวีเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเวลาออกอากาศลดลง และไม่เพียงเท่านี้ เพราะนอกจากคู่แข่งโดยตรงแล้ว การขายสินค้าผ่านช่องทางนี้ยังมีแนวโน้มที่จะโดนผลกระทบจากคู่แข่งทางอ้อม ที่มาจากการขายผ่านโลกออนไลน์ โดยจะมีทั้งรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่จำนวนมาก
4. SUPER ซึ่งรายงานผลการดำเนินงานปี 2557 มีผลขาดทุนสุทธิ 89.55 ล้านบาท หรือขาดทุนสุทธิ 0.006 บาทต่อหุ้น พลิกขาดทุนจากปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 62.16 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 0.009 บาทต่อหุ้น ส่วนสาเหตุของการขาดทุน เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีต้นทุนทางการเงินที่สูงมาก
ทั้งนี้ยังมีการมองกันว่า SUPER มีอัพไซต์เหลืออยู่น้อยมาก หลังจากวิ่งรับข่าวล่วงหน้าค่อนข้างเยอะ ขณะที่โครงการต่างๆ และประมาณการณ์ของนักวิเคราะห์ยังไม่เห็นเป็นรูปร่าง เพราะข้อมูลล่าสุดพบว่า บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพียงแค่ 13.50 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่ายังห่างไกลจากเป้าหมาย 500 เมกะวัตต์ภายในไตรมาส 1 ปี 2559 อยู่มาก แม้ว่าขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโซลาร์ฟาร์ม ขนาด 132 เมกะวัตต์ก็ตาม และสิ่งที่น่าติดตามต่อไปคือ บริษัทต้องเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 486.50 เมกะวัตต์เพื่อให้สอดคล้องกับประมาณการ แต่ ณ ตอนนี้ บริษัทมีสัญญาขายไฟอยู่ในมือจริงๆเพียงแค่ 180 เมกะวัตต์เท่านั้น
อย่างไรก็ดี ด้วยสภาวะตลาดหุ้นที่กำลังผันผวนและแกว่งตัวอยู่ในช่วงขาลง จึงควรหลีกเหลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่พื้นฐานอ่อนแอโดยอาจต้องมองหาหุ้นที่ผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์จากการได้รับเงินปันผลในอัตราที่คุ้มค่ากับความเสี่ยง หรืออาจจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐมากกว่าCredit - ข่าวหุ้นออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น