วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

“มนตรี” คาดแนวโน้มหุ้นปีนี้แตะ 1,650 จุด กลไก ศก. เริ่มขยับ แต่ยังต้องจับตาสถานการณ์ทางการเมือง

 “มนตรี” คาดแนวโน้มหุ้นปีนี้แตะ 1,650 จุด กลไก ศก. เริ่มขยับ แต่ยังต้องจับตาสถานการณ์ทางการเมือง

ชื่อ: 00.JPEG ครั้ง: 13318 ขนาด: 4.3 กิโลไบต์

ซีอีโอ บล.เมย์แบงก์ฯ มองแนวโน้มดัชนีฯ ปีนี้ น่าจะมีโอกาสแตะ 1,650 จุด บนฐานกำไรสุทธิของ บจ. ที่จะเติบโต 15% จากฐานต่ำในปี 57 คาดการบริโภคในประเทศ-ภาคการท่องเที่ยว ฟื้นตัว รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐฯ ที่เริ่มเร่งตัวมากขึ้น และยังต้องจับตาสถานการณ์ทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศด้วย

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิดีกว่าปีก่อนที่มีกำไร 1,264 ล้านบาท โดยจะมาจากการเติบโตของทั้งธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) โดยรายได้หลักของ MBKET ในปีนี้จะมาจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในสัดส่วน 70% ดอกเบี้ยรับ 20% และ IB ราว 5% ส่วนที่เหลือเป็นรายได้อื่นๆ

สำหรับธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ที่ 11% จากระดับ 10.56% ในปีก่อน ภายใต้คาดการณ์ว่ามูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้อยู่ที่ราว 50,000 ล้านบาท จาก 45,000 ล้านบาทในปีก่อน

ขณะที่ตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะเพิ่มบัญชีลูกค้าทั้งหมดเป็น 1.95 แสนบัญชี โดยมีเป้าหมายเจาะกลุ่มนักลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นราว 1.5-2 หมื่นราย จากปัจจุบัน MBKET มีบัญชีลูกค้า 1.7 แสนบัญชี เป็นบัญชีที่เคลื่อนไหวสม่ำเสมอราว 8 หมื่นบัญชี หรือ 50% ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ราว 5% และจะยังรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในการให้บริการ รวมถึงเน้นการวิจัยและพัฒนา (R&D)

ส่วนงานด้าน IB ในปีนี้ คาดว่าจะมีงานที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) และมีการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มีงานที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวมกิจการและซื้อกิจการ (M&A) และงานที่ปรึกษาในการดำเนินการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) รวมกันไม่น้อยกว่า 10 ดีล คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนทั้งหมดกว่า 10,000 ล้านบาท

ขณะที่ MBKET มองเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ปีนี้อยู่ที่ 1,650 จุด บนฐานกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 15% จากฐานต่ำในปี 57 โดยมองว่าการบริโภคภายในประเทศและภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐฯ ที่เริ่มเร่งตัวมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยคงยังไม่ได้เติบโตดีมากนัก แต่ก็เชื่อว่าจะฟื้นกลับมาเติบโตได้ดีในระยะต่อไป และยังต้องจับตาสถานการณ์ทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศด้วย

สำหรับกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังไม่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วนั้น ถือว่าส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย จากก่อนหน้านี้มีหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงกลางปี ทำให้เป็นปัจจัยกดดันตลาดพอสมควร

ทั้งนี้ มองว่าหากเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยจะต้องมีปัจจัยจากการที่เศรษฐกิจโลกดีขึ้น แต่เมื่อพิจารณาแล้วเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ได้ดีตามคาดหมายไว้ ไม่ว่าจะเป็นยุโรปที่ยังต้องใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ทำให้ค่าเงินอ่อนค่า และปัจจุบันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็จะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามากขึ้นจึงไม่สมเหตุสมผล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น