วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

EARTHจับมือพันธมิตร ตั้งโรงไฟฟ้าที่ฟิลิปปินส์

EARTHจับมือพันธมิตร
ตั้งโรงไฟฟ้าที่ฟิลิปปินส์

2015-04-01 12:04:00
ผู้เข้าชม : 3

EARTH เซ็น MOU กับพันธมิตร เพื่อศึกษาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน 300 เมกะวัตต์ในฟิลิปปินส์ กินรวบสัญญาขายถ่านหิน 25 ปี ขั้นต่ำ 20 ล้านตัน “ขจรพงศ์” ลั่นไม่ต้องเพิ่มทุน ชี้สถาบันการเงินพร้อมสนับสนุนเงินทุน

นายขจรพงศ์ คำดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางบริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับ APERVI-SPARKLING CONSORTIUM เพื่อศึกษาการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดที่ประเทศฟิลิปปินส์
โดยเฟสแรกจะมีกำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ และในเฟส 2 จะมีกำลังการผลิตอีก 150 เมกะวัตต์ รวมเป็น 300 เมกกะวัตต์ ซึ่งคาดจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2558 สำหรับโรงไฟฟ้าดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือระหว่าง Asia Pacific Energy Ventures Inc. (ฟิลิปปินส์), Sparkling Capital (ฝรั่งเศส) และ EARTH
นอกจากนี้ EARTH ยังได้ทำสัญญาระยะยาว 25 ปี ในการจำหน่ายถ่านหินให้กับ North Negros Energy Power Corporation (บริษัทในเครือของ North Negros Energy Power Corporation (Affiliate of the APERVI) เพื่อจำหน่ายให้กับโรงไฟฟ้าของฟิลิปปินส์ในปริมาณไม่ต่ำกว่า 20 ล้านตัน
นายขจรพงศ์ กล่าวอีกว่า ขั้นตอนต่อไปหลังจากการเซ็น MOU คือ อยู่ในระหว่างการหารือร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อหาข้อสรุปเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น รวมถึงการประเมินแผนลงทุนและมูลค่าลงทุนของโครงการ ซึ่งกระบวนทั้งหมดจะได้ข้อสรุปออกมาภายในช่วงปี 2558 จากนั้นจะเริ่มลงมือก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในช่วงปี 2559 โดยใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 30 เดือนสำหรับเฟสแรกที่มีกำลังผลิตไฟฟ้า 150 เมกะวัตต์
ดังนั้น การขยับเข้าสู่แผนการลงทุนโรงไฟฟ้าครั้งนี้จึงถือเป็นรุกขยายธุรกิจรูปแบบใหม่ของ EARTH ทำให้เพิ่มช่องทางกระจายความเสี่ยง และเพิ่มความมั่นคงให้กับบริษัทมากขึ้น เพราะนอกจากจะได้สัญญาขายถ่านหินจากเหมืองบริษัทในเชิงระยะยาวแล้ว แต่ยังได้ผลตอบแทนการลงทุนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินด้วยเช่นกัน
อีกทั้ง ประเมินว่า ภายใต้แผนลงทุนทำโรงไฟฟ้าถ่านหินร่วมกับพันธมิตรทาง EARTH เองจะไม่ต้องเพิ่มทุน เนื่องจากการลงทุนในครั้งนี้จะใช้เงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น ประกอบกับบริษัทยังมีกระแสเงินสดในมือและยังมีสถาบันการเงินพร้อมสนับสนุน
สำหรับโรงไฟฟ้านี้ได้ตั้งอยู่ภายในศูนย์ท่าเรืออุตสาหกรรมและการค้าแห่งเมือง Cadiz จังหวัด Negros Occidental ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลเมือง Cadiz และได้รับการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จัดทำโดยกระทรวงสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ หรือ DENR Of Environmental Compliance Certificate (ECC) ไปแล้ว
นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาดนี้จะเข้ามาเสริมแผนการพัฒนาไฟฟ้าสำหรับปี 2558-2560 ของกระทรวงพลังงานในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจัดส่งไปที่ Philippine Visayas Grid ที่ยังขาดไฟฟ้าอยู่ประมาณ 250 เมกะวัตต์ และมีการคาดการณ์แบบ Conservative ว่า ความต้องการจะเพิ่มขึ้นประมาณ 7% ต่อปี หรือประมาณ 100 เมกะวัตต์ต่อปี
ขณะที่ปริมาณไฟฟ้าที่บริษัทผลิตได้จะถูกจัดส่งผ่านสหกรณ์โรงไฟฟ้าของ จังหวัด Negros Occidental จำนวน 3 แห่ง คือ The North Negros Electric Cooperative, Inc., The Central Negros Electric Cooperative, Inc. (CENECO) และ The VRESCO

กลุ่มภัทรเปิด6หุ้นน่าลงทุน

กลุ่มภัทรเปิด6หุ้นน่าลงทุน

:DTAC-INTUCH-SCCนำทีม

บล.ภัทร แนะ บลจ.ภัทร–นักลงทุนทั่วไปเก็บหุ้น DTAC, INTUCH, SCC, TRUEGIF, BTS และ AP รับความผันผวนของตลาดทุนไทย พร้อมแนะกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดทุนนอกเพื่อรักษาฐานผลตอบแทนในระดับสูง ล่าสุด บลจ.ภัทร เสนอขายกองทุนเปิดภัทร สตราทิจิค แอสเซ็ท อโลเคชั่น กระจายความเสี่ยง

นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าทีมวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยังคงมองหุ้นไทยช่วงนี้มีความผันผวนค่อนข้างสูง นักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุนโดยลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยจากเดิมที่ 40% เหลือ 33% พร้อมกระจายการลงทุนไปยังตลาดทุนต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นไทยก็ยังคงให้ผลตอบแทนในระดับสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในรูปแบบอื่น ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงส่งผลให้ผลตอบแทนจากการฝากเงินและการลง ทุนผ่านพันธบัตรต่างๆ อยู่ในระดับต่ำ
กลุ่มหลักทรัพย์ที่แนะนำนักลงทุนรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์จัดการกอง ทุนภัทรจำกัด ในฐานะ บล.ภัทร เป็นที่ปรึกษาการลงทุนให้นั้น ยังคงแนะลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง อย่างหุ้นกลุ่มสื่อสาร เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้รับอานิสงค์จากการประมูล 4G ที่สำคัญหุ้นกลุ่มนี้ปันผลในระดับสูง
ข้อดีของหุ้นกลุ่มปันผลคือสามารถรับความผันผวนของตลาดได้ทุกกรณี หุ้นกลุ่มกองทุนก็เป็นหุ้นหนึ่งที่ให้ปันผลดี หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างได้รับอานิสงส์จากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับอานิสงค์จากอัตราดอกเบี้ยต่ำ ประกอบด้วย หุ้น DTAC หุ้น INTUCH หุ้น SCC หุ้น TRUEGIF หุ้น BTS และหุ้น AP
นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด กล่าวว่า ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนต่อเนื่อง หากมองการลงทุนในระยะยาวหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจแต่ในระยะนี้หุ้นไทยยังมี ปัจจัยลบเข้ามากระทบจากปัจจัยลบภายในประเทศและปัจจัยลบจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นอีกครั้ง
ส่วนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ สำหรับดัชนีหุ้นไทยรอบนี้คาดว่ากรอบอยู่ที่ระดับ 1,400-1,700 จุด ส่วนหลักการลงทุนนั้นบริษัทจะร่วมมือกับ บล.ภัทร ในเรื่องของมุมมองการลงทุน ที่เจาะลึกเพื่อเป็นการรักษาฐานผลตอบแทนให้ได้ระดับสูง สำหรับกลุ่มหลักทรัพย์ที่บริษัทลงทุนจะเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่สามารถรับ มือกับความผันผวนของตลาดได้ รวมถึงการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกและไทยเป็นหลัก
ล่าสุด บริษัทเสนอขายกองทุนเปิดภัทร สตราทิจิค แอสเซ็ท อโลเคชั่น จุดเด่นของกองทุนนี้อยู่ ที่พอร์ตการลงทุนแบบผสม ซึ่งจัดสรรการลงทุนแบบเบ็ดเสร็จ มีกระจายการลงทุนไปในหุ้น ตราสารหนี้และตราสารทางเลือกหลากหลายประเภทและหมวดธุรกิจทั้งในและต่าง ประเทศ ภายใต้กรอบการแนะนำการลงทุนจาก บล.ภัทร ที่ปรึกษาการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการลงทุน เน้นการปรับสัดส่วนการลงทุนในทรัพย์สินแต่ละประเภทให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของตลาดในแต่ละช่วงเวลา
จึงถือเป็นตัวช่วยในการจัดสรรเงินลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจทั้งยังเหมาะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามสถานการณ์การลงทุน นอกจากนี้กองทุนยังมีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจทั้งในสภาวะตลาดขาลงและตลาดขาขึ้น

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิชาเทพ วิชามาร


 วิชาเทพ-วิชามาร : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

วิชาเทพ-วิชามาร : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


คนที่เคยอ่านหนังสือ “กำลังภายในจีน” ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนยุคก่อนจะต้องรู้จักคำว่า “วิชามาร” ซึ่งเป็นวิชาความรู้ในการต่อสู้ที่รุนแรง ร้ายกาจ โหดเหี้ยม และบางครั้งก็มักจะไม่คำนึงถึง “จรรยาบรรณ” หรือ “กติกา” ในการต่อสู้ และคนที่ใช้วิชาแบบนี้ก็มักจะเป็นผู้ร้ายหรือเป็น “มาร” ส่วนคนที่เป็นพระเอกหรือคนดีที่เป็น “เทพ” นั้นก็มักจะใช้วิชาอีกแบบหนึ่งที่มีลักษณะตรงกันข้ามในเรื่องของรูปแบบ เช่น ไม่รุนแรงโหดเหี้ยม แต่อาจจะอาศัยแรงของคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขา “แพ้ภัยตัวเอง” วิชาเทพนั้นมักจะ “อ่อนโยนและสงบนิ่ง” กว่า นอกจากนั้นก็มักจะต้องยึดถือ “จรรยาบรรณ” ในการต่อสู้ ไม่คดโกงหรือลอบกัดฝ่ายตรงข้าม  การต่อสู้ระหว่างมารและเทพนั้น แม้ว่าในระยะแรกดูเหมือนมารจะได้เปรียบ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เทพก็มักจะเป็นฝ่ายชนะ

ผมเองนั้นไม่ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือกำลังภายในเลย อย่างไรก็ตาม แนวคิดเรื่องวิชาเทพ-วิชามารนั้น ผมคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องของการลงทุนได้ดี สิ่งที่จะต้องประกาศไว้ก่อนเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดก็คือ ในเรื่องของการลงทุนนั้น “วิชามาร” ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นสิ่งที่เลวร้าย และคนที่ใช้มันก็ไม่ใช่คนที่ไม่ดีเสมอไป เช่นเดียวกัน “วิชาเทพ” เองก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป และคนที่ใช้ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่ดีเสมอไป เช่นเดียวกัน คนที่ใช้วิชาเทพมากก็ไม่ใช่ว่าจะต้องชนะ และผู้ที่ใช้วิชามารเป็นหลักก็ไม่ใช่ว่าจะต้องแพ้ บ่อยครั้งมันอาจจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์เช่นเดียวกับความสามารถของผู้ใช้ เหนือสิ่งอื่นใด มีนักลงทุนน้อยคนที่จะใช้เฉพาะวิชามารหรือวิชาเทพเพียงอย่างเดียวในการลงทุน ในบางโอกาส แม้แต่คนที่ยึดถือวิชาเทพเป็นหลักมาก ๆ ก็ยังใช้วิชามารเข้าเล่นด้วย เช่นเดียวกัน คนที่ดูเหมือนจะใช้วิชามารเป็นส่วนใหญ่ก็มักจะงัดวิชาเทพออกมาใช้ ดังนั้น ความหมายที่ผมต้องการสื่อก็คือ วิชาก็คือวิชา มันเป็นกลาง มันเป็นเสมือนอาวุธและลีลาที่ใครจะนำไปใช้ก็ได้ที่จะทำให้เขา “ชนะ”

ในเรื่องของการลงทุนนั้น นิยามกว้าง ๆ ที่ผมจะกำหนดว่าแบบไหนเป็นวิชามารและแบบไหนเป็นวิชาเทพนั้นจะล้อไปกับเรื่องของกำลังภายใน หลัก ๆ ก็คือ ถ้าเป็นเรื่อง “รุนแรง” นั่นก็คือ ลงทุนแล้วได้เสียมากและเร็วมาก ก็จะถือว่าเป็น “วิชามาร” นั่นคือข้อแรก ข้อสอง ถ้าเป็นเรื่องที่ “ร้ายกาจ” นั่นคือ เข้าไปเล่นหุ้นตัวใดตัวหนึ่งแล้ว เรา “ชนะ” คือสามารถทำกำไรได้มโหฬาร แต่คนที่ “แพ้” คือคนที่เล่นหุ้นตัวเดียวกันต้องขาดทุนอย่างหนัก พูดง่าย ๆ คนที่ชนะ “กินเงินจากผู้แพ้” แบบนี้ถือว่าเป็นวิชามาร ตรงกันข้าม ถ้าคนที่ชนะไม่ได้ได้เงินจากนักลงทุนคนอื่น แต่ได้จากการที่บริษัทสามารถทำกำไรได้มากขึ้นมากทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปมากและไม่ตกลงมาที่ทำให้คนอื่นขาดทุน

นิยามข้อสุดท้ายก็คือ เรื่องของความ “โหดเหี้ยม” และ/หรือ “ไร้จรรยาบรรณ” นั่นก็คือ การ “ปั่นหุ้น” และการ “ใช้ข้อมูลภายใน” ในการลงทุน นี่ถือว่าเป็น “วิชามาร” ขั้นสุดยอดจริง ๆ และคนที่เล่นแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็น “มาร” จริง ๆ ในแง่ที่เป็นคนไม่ดี และกรณีที่ทำมากจนเข้าข่ายผิดกฎหมายก็เสี่ยงที่จะต้องถูกลงโทษทางอาญา แต่สำหรับนิยามของผมเองนั้น การปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นผิดกฎหมายก็ต้องถือว่าเป็น “วิชามารขั้นสูง” ที่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ และนิยามการปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในนั้นเอง ก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นสีเทา ๆ นั่นก็คือ ถ้ามีการใช้กระบวนการในการปล่อยข่าวและ/หรือสร้างกระแสหรือภาพลักษณ์ของกิจการหรือหุ้นมากมายโดยที่มันไม่ใช่ความจริงหรือมีความไม่แน่นอนสูงเพื่อที่จะทำให้คนสนใจเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อที่จะผลักดันราคา หรือมีการซื้อขายหุ้นนำเพื่อทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปรุนแรงเพื่อที่จะดึงดูดให้คนสนใจเข้ามาร่วมวงซื้อขายอะไรทำนองนี้ แม้ว่าโดยนิยามทางกฎหมายอาจจะไม่ใช่การปั่นหุ้น แต่โดยนิยามของผมแล้วมันก็คือการใช้วิชามาร

เล่นหุ้นที่มีการใช้มาร์จินนั้น เป็นการใช้วิชามารเพื่อที่จะเร่งผลตอบแทน ยิ่งใช้มาร์จินสูงก็จะมีความรุนแรงหรือความผันผวนของผลตอบแทนการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกัน การกู้ยืมเงินจากพ่อแม่พี่น้องหรือญาติมาลงทุนรวมถึงการนำสินทรัพย์เช่นบ้านมาค้ำประกันเพื่อกู้เงินมาลงทุนต่าง ๆ เหล่านี้ก็เป็นเรื่องการใช้วิชามารทั้งสิ้น นอกจากนั้น การลงทุนในตราสารการเงินที่มีความผันผวนสูงมาก ๆ เนื่องจากลักษณะตราสารเองไม่ใช่ลักษณะของกิจการ ตัวอย่างเช่นวอแร้นต์ที่ราคาแปลงสภาพสูงกว่าราคาของหุ้นแม่มาก หรือการเล่นคอมโมดิตี้หรือพวกฟิวเจอร์หรือออปชั่นที่มีการวางเงินเพียงเล็กน้อยแต่มีระดับของการ “พนัน” สูงมาก ผมก็ถือว่าเรากำลัง “เล่นกับไฟ” และดังนั้นมันจึงเป็นการใช้วิชามาร ว่าที่จริง การเข้าไปเล่นหุ้น IPO ในวันที่หุ้นเข้าตลาดในวันแรกในช่วงเร็ว ๆ นี้นั้น ผมเองคิดว่ามันก็ไม่ห่างจากวิชามารมากนัก

นิยามในข้อสองคือเรื่องของความ “ร้ายกาจ” นั้น ถ้าเกิดจากความตั้งใจของการเข้าไปไล่ราคาหุ้นเพื่อที่จะ “ปล่อยของ” อย่างรวดเร็ว นั่นก็คือการทำราคาหุ้นให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อที่ตนเองจะได้ขายในราคาสูงโดยที่รู้ว่าพื้นฐานของราคาหุ้นต่ำกว่านั้นมาก ผลก็คือ นักลงทุนคนอื่นที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้อง “บาดเจ็บ” อย่างหนักเนื่องจากเข้าไปซื้อหุ้นที่แพงเกินพื้นฐานไปมากและต้องขายขาดทุนหนักหรือต้องติดหุ้นไปยาวนานมาก ลักษณะแบบนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการใช้วิชามารอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังมีการซื้อหุ้นและขายทำกำไรมากแต่คนอื่นขาดทุนอย่างหนักโดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ตั้งใจ นี่ก็คือการที่นักลงทุนเข้าไปเล่นหุ้นที่มีผลประกอบการที่มีความไม่แน่นอนสูงหรือมีวัฏจักรรุนแรง พอเข้าไปแล้วราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปสูงมากอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจจะเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของธุรกิจและ/หรือผลจากการซื้อหุ้นของเขาเอง เขาจึงตัดสินใจขายหุ้นทิ้งอย่างรวดเร็วทำกำไรงดงามและทำให้ราคาตกลงอย่างหนักและทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเสียหาย ในกรณีแบบนี้ก็อาจจะถือได้ว่าเป็นเรื่องของวิชามารเหมือนกันแม้ว่าดีกรีจะอ่อนกว่าแบบแรก

สุดท้ายคือนิยามของความโหดเหี้ยมและ/หรือไร้จรรยาบรรณในการลงทุน นี่ก็คือการเล่นหุ้นในแบบที่อาจจะเป็นการเอาเปรียบคนอื่นอย่างชัดเจนเช่นการปั่นหุ้นและการใช้ข้อมูลภายในไม่ว่าจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือไม่ นอกจากนั้น การเล่นหุ้นที่ใช้ “วิศวกรรมการเงิน” แบบวิชามาร เช่น การซื้อหุ้น PP หรือหุ้นใหม่ของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก ๆ การให้วอแร้นต์ฟรีจำนวนมาก ๆ ที่จะไดลูทหรือทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีสัดส่วนในบริษัทน้อยลงมากในอนาคต การแตกพาร์โดยไม่สมเหตุผล และอื่น ๆ อีกมาก แบบนี้ผมถือว่ามันเป็นเรื่องของการใช้วิชามารในการลงทุนหรือเล่นหุ้นทั้งสิ้น

ถ้าจะถือว่าเซียนหุ้นระดับโลกคนไหนใช้วิชามารมากนั้น ผมคิดว่า จอร์จ โซรอส เป็นคนหนึ่ง เพราะการทำกำไรของโซรอสนั้น บ่อยครั้งทิ้ง “หายนะ” ให้กับคนอื่น ๆ อีกหลายคน ส่วนคนที่ใช้วิชาเทพมากนั้น แน่นอน คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ทำเงินโดยการเติบโตของกิจการที่เขาไปลงทุน มีหุ้นน้อยมากที่บัฟเฟตต์ซื้อและขายทำกำไรได้งดงามแต่ในที่สุดคนที่ซื้อตามเจ๊ง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บัฟเฟตต์ซื้อแล้วเขาแทบจะไม่เคยขายอย่างรวดเร็ว จำนวนมากเขาถือมันไว้ตลอดชีวิต บัฟเฟตต์นั้นได้เงินจากบริษัท ไม่ได้ได้จากผู้ถือหุ้นคนอื่น

ในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมไม่รู้ว่าระหว่างคนที่ใช้วิชาเทพหรือคนที่ใช้วิชามารอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ใครทำกำไรหรือได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่า เป็นไปได้ว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นร้อนแรงและราคาหุ้นขึ้นเป็นกระทิงยาวนานนั้น คนที่ใช้วิชามารเก่ง ๆ น่าจะทำกำไรได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวที่ตลาดหุ้นมักมีการขึ้นลงและมักจะมีช่วงที่เลวร้ายเป็นระยะ ๆ คนที่ใช้วิชาเทพก็อาจจะสามารถทำผลงานเฉลี่ยได้ดีกว่าเช่นเดียวกัน เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์

*******************

วิชาเทพ-วิชามาร

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Monday, 30 March 2015

โลกในมุมมองของ Value Investor

ที่มา http://portal.settrade.com/blog/nivate/2015/03/30/1544

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

เลิกกฎอัยการศึก หุ้นคึกคัก CPALL CENTEL EWR

ตลาดหุ้นไทยขานรับ
ยกเลิก“กฎอัยการศึก”
*CLSAยันฝรั่งลงทุนเพิ่มแนะหุ้นท่องเที่ยว-โรงแรม

2015-03-30 12:05:00
ผู้เข้าชม : 11

ผู้บริหารโบรกฯขานรับยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนและตลาดทุนระบุสถิติ ปีย้อนหลังดัชนีหุ้นฟื้นหลังสงกรานต์สัปดาห์นี้จับตาคิวอียุโรป หมื่นล้านยูโรดันตลาดคึกหากยืนเหนือ 1,505 จุดส่งสัญญาณไปต่อด้านบล.ซีแอลเอสเอยันกองทุนต่างชาติลงทุนเพิ่มแน่นอนแนะ CENTEL, MINT และ CPALL

ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์เห็นพ้องกันว่าหากรัฐบาลยกเลิกกฎอัยการศึกจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นและส่งผลต่อการท่องเที่ยวของประเทศที่เป็นภาคอุตสาหกรรมเดียวของประเทศที่ยังคงเติบโตขณะที่มองว่าหลังสงกรานต์ตลาดหุ้นจะเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนกองทุนต่างชาติจะเริ่มกลับมาเข้าลงทุนหลังยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรว่ารัฐบาลเตรียมยกเลิกกฎอัยการศึก  ขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมการในเรื่องดังกล่าวไว้แล้วซึ่งตามขั้นตอนจะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการยกเลิกกฎอัยการศึกก่อนหลังจากนั้นอาจมีการบังคับใช้มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแทน
ก่อนหน้านี้พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หารือกับนักธุรกิจและภาคเอกชนรายใหญ่นักธุรกิจและเอกชนเพื่อหาแนวทางฟื้นเศรษฐกิจซึ่งคาดว่าจะยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกเร็วๆ นี้
ดร.ก้องเกียรติโอภาสวงการประธานกรรมการบริหารบล.เอเซียพลัสหรือ ASP กล่าวว่าหากรัฐบาลยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกจริงจะส่งผลดีด้านจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นไทยได้อย่างรวดเร็วและส่งผลดีต่อหุ้นบางกลุ่มเช่นหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม
อย่างไรก็ตามภาคเศรษฐกิจกำลังรอการลงทุนจากภาครัฐโดยเฉพาะเบิกจ่ายงบลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างเช่นรถไฟฟ้าและรถไฟทางคู่ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวและส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
“ตอนนี้มีหุ้นราคาถูกกว่า 100 ตัวแต่คนไม่ชอบเล่นชอบเล่นแบบเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่าโดยเฉพาะหุ้นที่มีพี/อีสูงแต่วอลุ่มหนาๆซึ่งหากนักลงทุนคิดจะลงทุนตอนนี้คงต้องเลือกเก็บหุ้นที่มีพี/อีต่ำซึ่งมีกระจายอยู่ทุกกลุ่ม”
ด้านนายเผดิมภพสงเคราะห์กรรมการผู้จัดการสายงานจัดการเงินทุนบุคคลบล.กสิกรไทยกล่าวว่าการยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกย่อมส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยอย่างแน่นอนโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวโรงแรมและสายการบินได้แก่ERW AAV
นอกจากนี้ยังจะมีการทำคิวอีของยุโรปภายในสิ้นเดือนนี้อีกประมาณ6 หมื่นล้านยูโรจากที่ธนาคารกลางยุโรปอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบเพิ่มเติมจะช่วยให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยรวมทั้งการทำวินโดว์เดรสซิ่ง1-2 วันนี้
นายสุเชษฐ์สุขแท้ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยถือว่าเข้าแดนขายมากเกินไปแล้วซึ่งตามสถิติย้อนหลังไป 3-4 ปีหุ้นมักจะฟื้นตัวหลังเทศกาลสงกรานต์  ที่ผ่านมาเป็นเพียงการปรับฐานเท่านั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรที่รุนแรงมากจากปัจจัยภายนอกและภายในแนวรับอยู่บริเวณ 1,476-1,475 จุดและแนวต้านอยู่บริเวณ 1,505 จุดหากยืนได้มีสัญญาณฟื้นตัวไปแนวต้านถัดไปที่ 1,520 จุดและ 1,530 จุดและ 1,550 จุด
ส่วนการเลิกกฎอัยการศึกส่งผลด้านจิตวิทยาสำหรับความกังวลเรื่องปัญหาภายนอกประเทศคงยังไม่มีอะไรรุนแรงขณะนี้โดยเฉพาะปัญหาเยเมนที่คาดว่าจะคลี่คลายได้ภายในเร็วๆนี้ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่ใช่เร็วๆนี้
สำหรับหุ้นที่แนะนำลงทุนได้แก่หุ้น KBANK แนวรับที่ราคา 215 บาท AOT แนวรับที่ 270 บาท BBL แนวรับ 170 บาท
นายอภิชาติผู้บรรเจิดกุลผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ทิสโก้กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญมาจากภายในประเทศเป็นสำคัญโดยเฉพาะกรณีที่รัฐบาลจะยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการ

กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรมคึก
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการบล.ซีแอลเอสเอ กล่าวว่า การยกเลิกกฎอัยการศึกจะเป็น sentiment ที่ดีต่อตลาดหุ้นโดยจะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกองทุนต่างๆที่ยังคงติดขัดในเรื่องของการห้ามลงทุนในประเทศที่บังคับใช้กฎหมายนี้อยู่
“สัดส่วนนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมากจากเดิมเฉลี่ย 34-35% แต่ตอนนี้ลงมาเหลือเพียง 30%”
ส่วนหุ้นในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการยกเลิกกฎอัยการศึกจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยวโรงแรมอาหารเช่น CENTEL, CPALL และMINT นายปริญญ์มองด้วยว่าดัชนีที่ปรับลงมาในขณะนี้ถือว่ามากกินไป
นายสาห์รัชชัฎสุวรรณผู้อำนวยการสายการตลาดธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้จำกัดกล่าวว่าได้เสนอขายกองทุนเปิดทิสโก้ไทยอิควิตี้ทริกเกอร์ 8% #20 ตั้งเป้าหมายเลิกโครงการที่ 8% ภายใน 8 เดือนหรือณเวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนซื้อขายสับเปลี่ยนได้ทุกวันทำการเสนอขายครั้งแรกนนี้ถึง 31 มี.ค.นี้
“เรามองว่าตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงแรงนั้นมาจากความผันผวนตามตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียขณะที่ปัจจัยพื้นฐานในประเทศยังค่อนข้างดีอยู่การที่ดัชนี SET ปรับฐานลงมาต่ำกว่า 1,500 จุดถือเป็นจังหวะในการเข้าลงทุนเป็นอย่างยิ่งเราเชื่อว่าด้วยการเมืองที่มีเสถียรภาพและความแข็งแกร่งของภาคเอกชนไทยหุ้นไทยจะดีดตัวกลับมาในไม่ช้า”นายสาห์รัชกล่าว
นางสาวธิดาศิริศรีสมิตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทยจำกัด(บลจ. กสิกรไทย) กล่าวว่ายังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีโดยยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2558 ที่ระดับ 1,700 จุดด้วยอัตราส่วน P/E ที่ระดับ 16.5 เท่าและมองแนวโน้มอัตราการเติบโตของผลกำไรปกติของบริษัทจดทะเบียนที่ 12% เพราะเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่จะได้รับปัจจัยบวกหลายด้านทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวอาทิหุ้นในกลุ่มสื่อสารที่จะได้รับประโยชน์จากความชัดเจนของการประมูล4G  หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวยังคงเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องรวมถึงหุ้นในกลุ่มก่อสร้างที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ
จากปัจจัยที่กล่าวมาบลจ.กสิกรไทยอาศัยจังหวะที่น่าสนใจนี้เตรียมเปิดเสนอขายกองทุนทริกเกอร์หุ้นไทยซึ่งคาดว่าจะเปิดขายได้ในช่วงสัปดาห์หน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในไตรมาส 1/58 ยังเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวประกอบกับกรณีที่นายกรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ระหว่างการพิจารณาจะใช้กฎหมายฉบับใดมาแทนกฎอัยการศึกระหว่างการใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯหรือพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและมาตรา44 ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวน่าจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มโรงแรมอย่างบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาจำกัด(มหาชน) หรือ CENTEL, บริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด (มหาชน) หรือ MINT และ บริษัท ดิเอราวัณกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือERW 
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตจำกัด(มหาชน) ประเมินว่าหากมีการยกเลิกกฎอัยการศึกหุ้นในกลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยวน่าจะได้รับผลดีแนะนำซื้อCENTEL ราคาพื้นฐาน42 บาท  และMINT ราคาพื้นฐาน41 บาทซึ่งมีโรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมถึงมีธุรกิจอาหารที่จะเข้ามาช่วยเสริมในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวด้วย
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีจำกัด(มหาชน) ประเมินว่าถ้ามีการยกเลิกกฎอัยการศึกก็จะเป็นบวกต่อประเทศและเป็นประโยชน์กับธุรกิจโรงแรมเนื่องจากจะทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางกลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นซึ่งERW นั้นจัดว่ามีลูกค้าที่หลากหลายทั้งชาวจีนอเมริการัสเซียรวมถึงชาติตะวันตกและยุโรปก็จะมีความมั่นใจในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/58 ยังมีแนวโน้มที่ดีเนื่องจากยังเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่ต่อเนื่องมาจากไตรมาส 4 ถึงแม้ว่านักท่องเที่ยวจากยุโรปและรัสเซียจะลดลงประมาณ 30-40% แต่นักท่องเที่ยวจากจีนมีเติบโตสูงถึง 50%  จึงน่าจะสามารถชดเชยกันได้
ดังนั้นจึงแนะนำ“ซื้อ” ERW ราคาพื้นฐาน6 บาทเนื่องจากมีการลงทุนพัฒนาโรงแรมในประเทศไทยอย่างเดียวจึงได้รับประโยชน์เต็มที่จากการฟื้นตัวรวดเร็วของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมถึงผลการดำเนินงานขาขึ้นต่อเนื่องในฤดูกาลท่องเที่ยวไตรมาส 1/58 ประกอบกับแผนจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ในช่วงครึ่งปีหลังจะสร้างโอกาสรับรู้กำไรจากการขายสินทรัพย์โดยประมาณการรายได้ปี 2558 ไว้ประมาณ5,966 ล้านบาทเติบโต 36% เมื่อเทียบกับปีก่อนและมีกำไรสุทธิ 251 ล้านบาทจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 112 ล้านบาท
บริษัท หลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่าภาวะธุรกิจท่องเที่ยวที่สดใสย่อมส่งผลบวกต่อกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจโรงแรมภายใต้การดูแล 3 บริษัท (MINT, CENTEL, ERW) ให้มีการดำเนินงานโดดเด่นและต่อเนื่องในไตรมาส 1/58 ซึ่งเป็นช่วงคาบต่อของฤดูกาลท่องเที่ยว (Peak Season) จากไตรมาส4
โดย MINT ในไตรมาส1/58 คาดว่าจะยังสดใสต่อเนื่องจากไตรมาส  4/57 โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมได้อานิสงส์จากช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหนุนให้อัตราการเข้าพักของกลุ่มโรงแรมเพิ่มมากขึ้นทำให้คาดกำไรในไตรมาส 1/58 น่าจะเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนจึงแนะนำ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 43 บาท
ส่วน CENTEL ในไตรมาส 1/58 คาดกำไรสูงโดดเด่นจากงวดปีก่อนที่ทำได้ 502 ล้านบาทขณะที่ทั้งปี 2558 ประเมินกำไรปกติไว้ 1,480 ล้านบาทเติบโต 28.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนสนับสนุนด้วยธุรกิจโรงแรมคาดมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มเป็น 80% จาก 75% ในปีทีผ่านมาและรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเติบโต8% เมื่อเทียบกับปีก่อนส่วนธุรกิจอาหารประเมินการเติบโตของยอดขายร้านอาหารเดิม 2-3% (เทียบกับ 1.4% ในปีก่อน) และขยายสาขาร้านอาหารใหม่เพิ่ม 4% หรือ 30 สาขาจะหนุนให้ธุรกิจอาหารเติบโตรวม 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนจึงแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 42 บาท
และ ERW ในไตรมาส 1/58 น่าจะสดใสต่อเนื่องจากไตรมาส 4/57 เนื่องจากได้อานิสงส์ของช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (Peak Season) ซึ่งเบื้องต้นได้ประเมินรายได้โรงแรมในไตรมาส 1/58 ไว้อย่างน้อย 1,420 ล้านบาทเติบโตสูง 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนโดยระดับรายได้ดังกล่าวน่าจะผลักดันให้ไตรมาส 1/58 มีกำไรปกติไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทเทียบกับ 49 ล้านบาทในไตรมาส 4/57 และ 2 ล้านบาทในไตรมาส 1/57 จึงแนะนำ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 6 บาท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558

JAS เชียร์ซื้อ เชียร์ขาย

4 โบรกฯจับตา JAS มองราคาตอบรับข่าวลบไปแล้ว-ฐานะการเงินหรูชูเป้า 8.45 บ.

2015-03-26 10:38:00
ผู้เข้าชม : 2,433

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ณ เวลา 10.27 น.อยู่ที่ 5.60 บาท บวก 0.30  หรือ 5.08% มูลค่าการซื้อขาย 992.57 ล้านบาท โดยราคาหุ้นเปิดตลาดที่ 5.85 บาท ระหว่างวันมีการปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 5.85 บาท และแตะระดับต่ำสุดที่ 5.55 บาท
 
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์(26 มี.ค.)ว่า มองว่าราคาหุ้นตอบรับข่าวลบไปแล้ว พิจารณาราคาพื้นฐาน consensus IAA ที่ 6.80-10.60 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันมีส่วนเพิ่มได้อีก 15%-79% แต่มีข่าวดีที่เป็นบวกมากกว่าข่าวลบ ราคาหุ้นก็มีโอกาสฟื้นตัวได้ หากบริหาร 4G ได้ดี อาจคล้าย TRUE ที่ราคาหุ้นกลับมาขึ้นแรง หลังจากได้พันธมิตรคือ China Mobile
ขณะที่ฐานะทางการเงินของ JAS อยู่ในเกณฑ์ดีมาก ณ สิ้นปี 57 มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.07 เท่า สามารถกู้เงินได้เพิ่มอีกมาก ต่างจาก TRUE ก่อนที่เพิ่มทุนสำเร็จมีฐานะการเงินที่ไม่ดีนัก คือ มีเงินกู้สูง ดังนั้นพันธมิตรใหม่มีความสำคัญมาก หากเป็นบริษัทมีชื่อเสียงและมีส่วนช่วย 4G ได้มาก ก็จะเป็น catalyst ที่ดีให้กับหุ้น JAS ในอนาคต
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์(26 มี.ค.)ว่า มองว่า JAS มีมุมมองในเชิงบวกต่อธุรกิจสื่อสารมากเกินไป แม้ JAS จะสามารถควบคุมการลงทุนให้ไม่เกิน 4 หมื่นล้านบาทได้ แต่มีโอกาสน้อยที่ JAS จะสามารถรักษา ARPU และชิงส่วนแบ่งการตลาดได้ แม้จากแนวโน้มที่บริษัทคาดจะทำให้มูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นราว 1.6 บาท แต่ยังคงมุมมองเดิมของเรา -1.5 บาท เช่นเดียวกับตลาด และจากความไม่แน่นอนในธุรกิจ 4G ที่สูง จึงแนะนำเพียง “ถือ”
บล.เคเคเทรด ระบุในบทวิเคราะห์(26 มี.ค.)ว่า แม้มีประเด็นบวกที่จะผลักดันราคาหุ้นระยะสั้น คือ 1) กำไรงวด 1Q58 ที่คาดจะออกมาดี เพราะฐานลูกค้าใหม่มีโอกาสแตะ 8 หมื่นราย สูงกว่าปกติที่จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มราว 6 หมื่นราย/ไตรมาส และ 2) การเข้าประมูล 4G แต่อย่างไรก็ตามมีความกังวลต่อทั้งธุรกิจหลักของบริษัทในปัจจุบันที่ดูจะไม่สดใสในระยะยาว จากการแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น รวมทั้งธุรกิจใหม่ (4G) ที่หากประมูลได้จะเป็นภารกิจที่ท้าทายของบริษัท เพราะคาดว่าจะกดด้นกำไรของบริษัทไปอย่างน้อย 2 ปี โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการกำไรและราคาเหมาะสมของหุ้น JAS ใหม่
ขณะที่ราคาเหมาะสมจาก Bloomberg Consensus เฉลี่ยอยู่ที่ 8.45 บาท ซึ่งมีโอกาสที่ Consensus จะปรับลดประมาณการลงอีก เพื่อสะท้อนผลกระทบจากการออก JAS-W3 และแผนลงทุน 4G   
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ระบุในบทวิเคราะห์(26 มี.ค.)ว่า แม้ JAS อาจถูกเก็งกำไรช่วงสั้นจากที่บริษัทได้ชี้แจงแล้วว่าจะทำการลดทุนหุ้นที่ซื้อคืนไป โดยไม่ขายหุ้นที่ซื้อคืนตามที่มีความกังวล รวมถึงการซื้อเพื่อรับ JAS-W3 ที่แจกฟรี ซึ่งมีมูลค่าทฤษฎี 1.29 บาท/หุ้น ก่อนขึ้น XW 25 มิ.ย. 58 (ไม่รวมใน Fair Value) แต่ด้วยมุมมองลบที่ฝ่ายวิจัยที่มีต่อธุรกิจใหม่ แนะนำ "ขาย" ราคาเป้าหมาย 6.30 บาท/หุ้น

เปิด 3 หุ้นตั้งรับสุดเหนียว ไม่หวั่นต่อทุกสถานการณ์

เปิด 3 หุ้นตั้งรับสุดเหนียว
ไม่หวั่นต่อทุกสถานการณ์

2015-03-26 08:30:00
ผู้เข้าชม : 7,388

รวมสุดยอด 3 หุ้นทีเด็ด เหมาะลงทุนในช่วงตลาดขาลง รอบนี้เป็นคิวของ GLOW-TTW-SPCG กำไรโตต่อเนื่อง ไม่หวั่นเศรษฐกิจชะลอตัว ราคาหุ้นไม่เป๋ตามดัชนีฟันธงเป็นหุ้นเติบโตแบบยั่งยืน ตามแบบฉบับของ “ดิเฟนซีฟสต๊อค”

ผลจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง  โดยวานนี้ (25มี.ค.) ปรับตัวลดลงอีก -1.65จุด หรือลดลง 0.11% มาอยู่ที่ระดับ 1,512.80 จุด "ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์" จึงทำการสำรวจหุ้นน่าลงทุน ในภาวะตลาดหุ้นผันผวน โดยคัดเลือกเอาหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทนต่อแรงเสียดทานทางเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดี และมีผลกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี รวมไปถึงต้องเป็นหุ้นที่มีการจ่ายปันผลในอัตราที่น่าพึงพอใจ ซึ่งพบว่า มีหุ้นอยู่ 3 ตัวด้วยกันที่เข้าข่ายเกณฑ์ดังกล่าว

เริ่มต้นที่หุ้นตัวแรกคือ บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจในด้านพลังงานโดยมีธุรกิจหลัก คือการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ไอน้ำ และน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมภายใต้ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ หรือ Independent Power Producer และ ผู้ประกอบการโรงผลิตไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน หรือ Cogeneration Business ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 3,187.55 เมกะวัตต์ไอน้ำ 1,206 ตันต่อชั่วโมง และยังน้ำเพื่อการอุตสาหกรรม 5,482 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และน้ำเย็น 3,400 ตันความเย็น
ส่วนผลประกอบการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพบว่า ในปี 2554 มีกำไรสุทธิ 3.49 พันล้านบาทปันผลที่อัตรา 3.36% และถัดมาในปี 2555 มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 5.56 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 2.59% และต่อมาในปี 2556 ทำกำไรเพิ่มขึ้นอีกเป็น 7.21 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 2.99% และล่าสุด ในปี 2557 บริษัทได้ทำสถิติกำไรสูงสุดที่ระดับ 9.14 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 3.09% ขณะที่ อัตราส่วนเงินปันผล ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 3.84%
สำหรับราคาหุ้น GLOW วานนี้ (25 มี.ค.) ปิดที่ระดับ 86.50 บาท ปรับตัวขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.58% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36.71 ล้านบาท

หุ้นตัวที่สองคือ บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปาให้กับการประปาส่วนภูมิภาค หรือ กปภ. ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานคร ครอบคลุม 2 จังหวัด ได้แก่ จ.นครปฐม และ จ.สมุทรสาคร โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 440,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และมีปริมาณการรับซื้อขั้นต่ำจาก กปภ. 318,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือกว่า 70% ของกำลังการผลิตทั้งหมด นอกจากนี้บริษัทได้เข้าซื้อสิทธิในการผลิตน้ำประปาและการบำบัดน้ำเสียในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จนถึงเดือนสิงหาคม 2582 โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 48,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และสามารถบำบัดน้ำเสียได้ถึง 18,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
ส่วนผลประกอบการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพบว่า ในปี 2554 TTW มีกำไรสุทธิ 2.11 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 6.93% และถัดมาในปี 2555 มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 2.42 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 4.35% และต่อมาในปี 2556 ทำกำไรเพิ่มขึ้นอีกเป็น 2.57 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 5.20% และล่าสุด ในปี 2557 บริษัทได้ทำสถิติกำไรสูงสุดที่ระดับ 2.97 พันล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 5.17% ขณะที่ อัตราส่วนเงินปันผล ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 5.65%
สำหรับราคาหุ้น TTW วานนี้ (25 มี.ค.) ปิดที่ระดับ 11.60 บาท ปรับตัวขึ้น 0.10 บาท หรือ 0.87% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.95 ล้านบาท

หุ้นตัวที่สามคือ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เป็นผู้พัฒนาโซลาร์ฟาร์มแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันมีโซลาร์ฟาร์มรวมทั้งสิ้น 36 โครงการ บนพื้นที่ 10 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง โดยมีกำลังการผลิตรวม ขนาด 260 เมกะวัตต์ ซึ่งสามารถจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นผู้ให้บริการด้านออกแบบและก่อสร้างโซลาร์ฟาร์ม ด้านการบำรุงรักษาและการประมวลผล รวมไปถึงเป็นผู้นำในการพัฒนาธุรกิจการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านเรือน อาคารธุรกิจขนาดเล็ก และธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่โรงงานอุตสาหกรรมอีกด้วย
ส่วนผลประกอบการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพบว่า ในปี 2554 SPCG มีผลขาดทุนสุทธิ 11.79 ล้านบาท โดยปันผลที่อัตรา 0.20% และถัดมาในปี 2555 พลิกกลับมามีกำไร 39.36 ล้านบาท โดยไม่ได้จ่ายปันผล และต่อมาในปี 2556 มีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 499.32 ล้านบาท โดยไม่ได้จ่ายปันผลและล่าสุด ในปี 2557 บริษัทได้ทำสถิติกำไรสูงสุดที่ระดับ 1.66 พันล้านบาท อัตราส่วนเงินปันผล ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 3.09%
สำหรับราคาหุ้น SPCG วานนี้ (25 มี.ค.) ปิดที่ระดับ 27.25 บาท ปรับตัวลง 0.25 บาท หรือ 0.91% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 46.12 ล้านบาท

ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 3 ตัวดังกล่าว ถือเป็นหุ้นที่ไม่ตกต่ำตามภาวะตลาด หากเทียบกับดัชนีหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 ซึ่งจนถึงวานนี้ ดัชนีได้ปรับลดลงมา 76.53 จุด หรือกว่า 5% แล้ว ขณะที่ราคาหุ้นเหล่านี้ยังสามารถทรงตัวอยู่ในระดับที่มั่นคง ไม่ได้ปรับตัวลงจนมีนัยสำคัญแต่อย่างใด อีกทั้งการจ่ายเงินปันผลสำหรับปีนี้ มีแนวโน้มที่จะจ่ายในอัตราที่ถือว่าสูงทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จนคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 2.75% ดังเช่นในปัจจุบัน    

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

JASทุ่ม5หมื่นลบ.ประมูล4G ** ดึงเกาหลี-ญี่ปุ่น พาร์ทเนอร์ตั้ง บ.ร่วมทุน


 

     
  
        
  
   JASทุ่ม5หมื่นลบ.ประมูล4G
       
** ดึงเกาหลี-ญี่ปุ่น พาร์ทเนอร์ตั้ง บ.ร่วมทุน
          JAS ทุ่ม 5 หมื่นลบ. ประมูล4G เตรียมจับมือพันธมิตรเกาหลีใต้ - ญี่ปุ่น เป็นพาร์ทเนอร์ตั้งบริษัทร่วมทุน ถือหุ้นมากกว่า 50% คาดได้ข้อสรุปในปีนี้ ขณะที่ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20-25% - กำไรสุทธิโต 15-20% ยันข่าวลือการขายหุ้นออกไม่เป็นความจริง ด้านโบรกฯ มอง หาก JAS ทำ Mobile Broadband 4G ได้ตามแผน ดันรายได้โต 100% คงเป้าหมายพื้นฐาน 8.40 บ

* JAS เตรียมทุ่ม 5 หมื่นลบ. ลุย4G
           
นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมร่วมทุนกับพันธมิตรเข้าประมูลใบอนุญาต 4G เพื่อรุกธุรกิจใหม่ Mobile Boardband 4G (MBB) เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 2.5-3.5 หมื่นล้านบาท โดยที่มาของเงินลงทุนจะมาจากเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (JASIF) ซึ่งหลังจากจ่ายปันผลพิเศษจะเหลืออยู่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าจะมีเงินร่วมทุนจากพันธมิตรราว 10,000 ล้านบาท รวมถึงบริษัทฯจะมีเม็ดเงินที่ได้จากการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ JAS-W3 จำนวนประมาณ 15,000 ล้านบาท (ในกรณีที่มีการใช้สิทธิแปลงสภาพทั้งจำนวน)
           นอกจากนั้น กรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่มเติม บริษัทฯ จะพิจารณาโดยการกู้ยืม ซึ่งจากสถานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯในปัจจุบันไม่น่าจะเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ซึ่งในเบื้องต้นหากกู้ไม่เกิน 1 เท่าของทุนจะได้เงินราว 10,000-15,000 ล้านบาท ทำให้โดยรวมแล้วบริษัทฯจะมีเงินลงทุนสำหรับ 4G ราว 50,000 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีกองทุน JASIF ซึ่งตามกฎสามารถกู้เงินได้ถึง 3 เท่าของทุน รวมกว่า 150,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะมีการพิจารณาใช้เป็นช่องทางเพื่อลงทุนเสาโครงข่าย และหากก่อสร้างแล้วเสร็จ ก็อาจจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนดังกล่าวเพิ่ม
           อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นของการเริ่มดำเนินกิจการ 4G น่าจะมีเสาราว 10,000 จุด เงินลงทุนราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้เวลาติดตั้งประมาณ 3 ปี เพื่อรองรับลูกค้า 1-2 ล้านราย หรืออาจจะเป็นการเช่าเสาสัญญาณของผู้ให้บริการรายอื่น ทั้งนี้ต้องรอผลการประมูลให้แล้วเสร็จก่อนถึงจะมีการวางแผนโดยละเอียด

* ดึงเกาหลี-ญี่ปุ่น พาร์ทเนอร์ตั้ง บ.ร่วมทุน ถือหุ้นมากกว่า 50%
           
นายพิชญ์ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมรายใหญ่จากประเทศเกาหลี และญี่ปุ่น 3 แห่ง เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนสำหรับการเข้าลงทุนประมูลใบอนุญาต 4G ที่คาดว่าจะมีการเปิดประมูลในช่วงไตรมาส 4 นี้ โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเลือกพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุด 1 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ โดยการร่วมทุนดังกล่าว JAS มีนโยบายถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50%
           "แผนธุรกิจใหม่ Mobile Boradband 4G จะเป็นอีกหนึ่งไลน์ธุรกิจที่ควบคู่ไปกับบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต โดยบริษัทฯ มีฐานลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 1.7 ล้านราย และคาดว่าด้วยคุณภาพของบริการจะมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง"นายพิชญ์ กล่าว
นายพิชญ์ ยอมรับว่า การลงทุน 4G ในปีแรกอาจจะทำให้บริษัทร่วมที่ตั้งขึ้นมีผลขาดทุน แต่มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อกำไรโดยรวมของกลุ่ม JAS โดยอาจทำให้กำไรปรับลดลงไปบ้างเท่านั้น
           ทั้งนี้ประเมินว่าการลงทุน 4G น่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 1-2 ปีนับจากวันที่เริ่มลงทุน โดยตั้งเป้าหมายฐานลูกค้าในช่วงแรก 1-2 ล้านราย โดยจุดแข็งของบริษัทฯ มีฐานลูกค้าบรอดแบนด์อยู่แล้ว ประเมินว่าสิ้นปีนี้จะมากกว่า 2 ล้านราย รวมถึงมีระบบบุคลากร ประสบการณ์ และคุณภาพของการให้บริการด้านโทรคมนาคมอยู่แล้ว ประกอบกับพาร์ทเนอร์ที่จะเข้าร่วมลงทุนก็เป็นผู้ประกอบการายใหญ่ด้านโทรคมนาคมของเกาหลีและญี่ปุ่น จึงเชื่อว่าจะสามารถดึงลูกค้าให้มาใช้งานของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี
           ส่วนหากผลประมูลล้มเหลว บริษัทฯ ก็ยังคงเดินหน้าขยายฐานธุรกิจเดิมต่อไป แต่มั่นใจว่าจะสามารถชนะการประมูลในครั้งนี้

*โบรกฯ มอง หาก JAS ทำ Mobile Broadband 4G ได้ตามแผน ดันรายได้โต 100% คงเป้าหมายพื้นฐาน 8.40 บ.
           
??บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า จากการเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์ของ JAS ในวันนี้ ผู้บริการชี้แจ้งเกี่ยวกับประเด็นดังต่อไปนี้??1 ) การที่จะนำหุ้นซื้อคืนกลับมาขายในตลาดนั้น เป็นกฏระเบียบในการที่จะต้องประกาศช่วงเวลาที่บริษัทจะทำการขายหุ้นซื้อคืนในตลาด ซึ่งถ้าในช่วงดังกล่าวบริษัทไม่สามารถจำหน่ายหุ้นซื้อคืนในตลาดได้ก็จะต้องทำการลดทุนในส่วนหุ้นซื้อคืนที่บริษัทซื้อมา ??2) การออก JAS- W3 นั้น บริษัทมีความตั้งใจที่จะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนดังกล่าวไปใช้ประมูลคลื่นความถี่ 4G ที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้บริษัทได้มีการพูดคุยกับ Partner 3 ราย โดยจะคัดเลือกเหลือเพียง 1 รายที่จะเข้ามาทำธุรกิจ Mobile Operator โดยบริษัทจะใช้จุดแข็งในการให้ Speed และ Data กับผู้ใช้งานเหนือคู่แข่ง และตั้ง Position คือ Mobile Broadband 4G เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจ Fixed Broadband ที่มีอยู่โดยลักษณะของโครงสร้างในการลงทุน 4G เป็นดังนี้??ในส่วนของเงินการลงทุน 4G นั้นบริษัทประเมินไว้ 25,000-30,000 ล้านบาทซึ่งเป็นค่า License และ CAPEX ไม่รวมเสาโทรคมนาคม ในส่วนของเสานั้นบริษัทจะใช้ลักษณะของการเช่าจาก Infrastructure ซึ่งในกรณีที่ไม่สามารถเช่าได้นั้น บริษัทจะลงทุนและขายต่อให้กับ JASIF และทำสัญญาเช่าแทน เป้าหมายลูกค้านั้นอยู่ที่ 1-2 ล้านเลขหมายหรือ 2% ของ Market share ในปัจจุบัน (AIS 44 ล้านเลขหมาย, DTAC 28 ล้านเลขหมายและ TRUE 24 ล้านเลขหมาย)
           มองว่าธุรกิจ Mobile Operator ในปัจจุบันมีการแข่งขันค่อนข้างสูงและตลาดเองเริ่มมีการเติบโตที่ช้าลงเนื่องจาก Penetration สูงกว่า 150% แต่ด้วย Target 1-2 ล้านเลขหมายที่บริษัทตั้งไว้ก็มีความเป็นไปได้ โดยอาจจะใช้ฐานลูกค้าเดิมของ 3BB ที่มีเกือบ 1.8 ล้านรายในขณะนี้ ซึ่งถ้าบริษัทสามารถทำสำเร็จได้ตามที่ตั้งไว้ฐานรายได้ของบริษัทจะเติบโตได้ 100% แต่อย่างไรก็ดีต้องรอดูว่าจำนวน License 4G ที่จะออกมานั้นมีจำนวนเท่าไร และราคาในการประมูล รวมไปถึงการเช่าโครงข่ายโทรคมนาคมจาก Infra Sharing ที่จะเกิดขึ้นมีความชัดเจนเพียงไร ในส่วนของธุรกิจ Fixed Broadband นั้นยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดย คาดว่า Net Add ใน ไตรมาสแรกจะสูงถึง 80,000 ราย มาอยู่ที่ 1.75 ล้านราย และสิ้นปีตั้งเป้าไว้ที่ 2 ล้านราย (+20%) เรายังมองธุรกิจ Broadband Internet ยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ??ทั้งนี้ยังคงเป้าหมายพื้นฐาน Fully Diluted ที่ 8.40 บาท (ก่อน Diluted 10.60 บาท) แต่ช่วงสั้นอาจจะได้รับผลจากความไม่ชัดเจนในการลงทุน 4G การแข่งขันในตลาด Mobile ที่ค่อนข้างสูง Wait and See

* JAS ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20-25% - กำไรสุทธิโต 15-20%
           
นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS กล่าวต่อถึงผลประกอบการในปีนี้ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 20-25% จากปีก่อนที่ทำได้ 12,411 ล้านบาท และกำไรสุทธิเติบโต 15-20% จากปีก่อนที่ทำได้ 3,271 ล้านบาท พร้อมทั้งจะรักษาระดับอัตรากำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (Ebitda Margin) ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 57% ซึ่งถือว่าสูงสุดในอุตสาหกรรมบรอดแบนด์
           ขณะเดียวกันบริษัทฯตั้งงบลงทุนปีนี้ 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายโครงการข่ายบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต ให้ครอบคลุม 100% ของ 7,000 ตำบลทั่วประเทศ จากปีก่อนที่ 50% โดยคาดว่าจำนวนลูกค้าในปีนี้จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ล้านราย จากปีก่อนที่อยู่ระดับ 1.7 ล้านราย คิดเป็นการเพิ่มขึ้นราว 3,000 รายต่อเดือน จากปีก่อนที่ 20,000 รายต่อเดือน โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มฐานลูกค้าแตะ 3 ล้านรายภายใน 3 ปี

* แจงข่าวลือ การขายหุ้นของบริษัทฯ ไม่เป็นความจริง           นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS กล่าวต่อถึงกรณีข่าวลือที่บอกว่าตนเองได้มีการขายหุ้นที่ถืออยู่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง
           นอกจากนี้ประเด็นการขายหุ้นที่ซื้อคืน 142.73 ล้านหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทฯมีนโยบายไม่ขายหุ้นออก แต่จะนำไปลดทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น
"ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงช่วงนี้ น่าจะเป็นเพราะข่าวลือเกี่ยวกับการขายหุ้นของบริษัทฯ และตัวผมเอง ซึ่งได้ยืนยันไปแล้วว่าไม่เป็นความจริง และหุ้นที่ซื้อคืนไปก่อนหน้านี้ก็จะนำไปลดทุน เพื่อเพิ่มกำไรต่อหุ้นให้กับผู้ถือหุ้น ส่วนตัวผมเองยืนยันว่าจะไม่มีทางขายหุ้นที่ถืออยู่อย่างเด็ดขาด โดยนักลงทุนต้องใช้วิจารณญาณในการรับฟังข่าวต่างๆ ส่วนที่มีบทวิเคราะห์ แนะนำให้ขายหุ้นก็ต้องขึ้นอยู่ว่านักลงทุนประเมินแบบไหน เพราะเราก็มุ่งมั่นสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้านเรื่องวอร์แรนต์ที่จะทำให้เกิดไดลูท 33% มองว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นมากนัก เพราะราคาใช้สิทธิมีส่วนลดจากราคาตลาดถึง 35% ยังไงผู้ถือหุ้นก็ได้ประโยชน์อยู่ดี" นายพิชญ์ กล่าว
           ด้านการออก JAS-W3 จำนวน 3,497 ล้านหน่วย แม้จะส่งผลให้เกิดไดลูชั่น ถึง 33% แต่ผู้ที่ใช้สิทธิแปลงสภาพ ก็จะได้ประโยชน์ เนื่องจากราคาแปลงสภาพที่ต่ำกว่าราคาตลาดถึง 35% และจะได้ประโยชน์เพิ่มเติมคือ บริษัทฯ จะมีเงินทุนเพื่อการลงทุนธุรกิจใหม่ ซึ่งจะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ ได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต
           อนึ่ง ก่อนหน้านี้ JAS แจ้งมติคณะกรรมการ ออกวอร์แรนต์ฟรี JAS-W3 ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตราส่วน 2.04 หุ้นเดิม ต่อ 1 วอร์แรนต์ วันที่ไม่ได้รับสิทธิซื้อหลักทรัพย์แปลงสภาพ (XW) 25 มิ.ย. 2558โดย JAS-W3 มีอายุ 5 ปี อัตราการใช้สิทธิ 1 : 1 ราคา 4.30 บาท
           นอกจากนี้มีมติให้ขายหุ้นในโครงการซื้อหุ้นคืนจำนวน 142.73 ล้านหุ้น คิดเป็น 2% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมด ระหว่างวันที่ 19-23 มิ.ย. 2558 โดยจะเป็นการขายในตลาดหลักทรัพย์ขณะที่ล่าสุด ณ วันปิดสมุดทะเบียน 16 มี.ค.พบว่านายพิชญ์ ถือหุ้น JAS อยู่ทั้งสิ้น 25.84%

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

สรุปข่าวหนังสือพิมพ์ 26-3-2015

สรุปข่าวหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น

JAS ดึงญี่ปุ่น-เกาหลีลุย 4G มุ่งทำโมบายล์บรอดแบนด์ เล็งนำหุ้นซื้อคืน 142.73 ล้านหุ้น มาลดทุน
“JAS” เล็งดึงพันธมิตรญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ 1 ราย ร่วมทุนประมูล 4G เพื่อทำธุรกิจโมบายล์บรอดแบนด์ 4G เตรียมเงินลงทุนไว้ 3.5 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าลูกค้า 2 ล้านรายใน 2 ปี “พิชญ์” ลั่นกำไรปีนี้โต 20% เล็งนำหุ้นซื้อหุ้น 142.73 ล้านหุ้นมาลดทุน

SAMART คว้างาน APPS AOT ไฟเขียวว่างจ้าง 5 ปี
“สามารถ คอมเทค” บริษัทลูก SAMART ซิวงานวางระบบ APPS ของ AOT คิดรายได้ตามปริมาณผู้โดยสาร 27.50 บาทต่อคนต่อเที่ยวบิน ว่าจ้าง 5 ปี ขณะล่าสุดเฉพาะผู้โดยสารต่างประเทศที่ผ่านสุวรรณภูมิอยู่ที่ 34 ล้านคนต่อปี

TTCL ปีนี้สดใส รายได้โต 20% แบ็กล็อกล้นมือ
“โตโย-ไทยฯ” วางเป้ารายได้ปีนี้โต 10-20% ตุนแบ็กล็อกเต็มมือ 3.4 หมื่นล้านบาท ล่าสุด 3 เดือนแรกเซ็นรับงานแล้วเฉียด 1 หมื่นล้านบาทจ่อรับงานใหม่เพิ่ม 500-800 ล้านเหรียญสหรัฐ ลุ้นคว้าโรงงานเคมีที่ลาว 200 ล้านเหรียญสหรัฐใน Q2

IFEC เด่นซื้อเป้า 18 บาท ลุ้นกำไรปี 58 พุ่ง 459 ล้าน
“IFEC” ผลงานปีนี้เด่น ลุยเพิ่มกำลังการผลิตจากโซลาร์ฟาร์มทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดปี 58 มีกำไรสุทธิ 459 ล้านบาท โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18 บาทต่อหุ้น จากเป้าปี 59 มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 347 เมกะวัตต์

KTB รอยกซดโครงการน้ำ
ขุนคลังปรับแผนโครงการน้ำ และซ่อมถนน หันมาใช้เงินกู้ในประเทศ เหตุดอกเบี้ยปรับลด ด้านโบรกฯ มองแบงก์กรุงไทย นับเงินรอปล่อยทันที ส่วน 2 เดือนแรก สินเชื่อขยายตัวมากสุดกลุ่มธนาคาร ขึ้น XD 21 เม.ย. ผลตอบแทนเงินปันผล 4%

ATP 30 เล็งเทรด mai ตั้ง APM เป็นที่ปรึกษาระดมเงินทุนซื้อรถเพิ่ม
“เอทีพี 30” โชว์แผนเข้าจดทะเบียนในตลาด mai หวังนำเงินมาลงทุนซื้อรถเพิ่ม ลั่นรักษากำไรเติบโตปีละ 30-40% ฟาก APMยื่นไฟลิ่งไม่เกินเดือนเมษายนนี้ หวังเข้าตลาดไตรมาส 3/58

CENTEL ลั่นงบ Q1 รายได้พุ่ง ปีนี้ตามนัด 2 หมื่นล้าน รับธุรกิจโรงแรม-อาหารโต
“CENTEL” ไตรมาส 1/58 แย้มรายได้โตหลังลูกค้าเข้าพักพุ่ง 85% ขณะมั่นใจรายได้ปีนี้ตามนัด 20,000 ล้านบาท รับธุรกิจโรงแรม-อาหารเติบโต เล็งร่วมทุนโรงแรมที่เมียนมาร์-ศรีลังกา พร้อมทุ่มงบ 26,000 ล้านบาท ลงทุน 5 ปี (58-62)

OFM รุกช้อปออนไลน์ปั๊มรายได้ มั่นใจฐานลูกค้าปีนี้ 7 ล้านราย
OFM ตั้งเป้ารายได้ขายสินค้าออนไลน์แตะ 800 ล้านบาทหวังฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 7 ล้านราย โบรกฯ คาดยอดขายเติบโตมั่นคงในระยะยาว

EPG รายได้ปีนี้พุ่ง 8.6 พันล้าน ลั่นกำไรปีนี้สวย-ซุ่มเจรจาซื้อกิจการเพิ่ม
“EPG” วางเป้ารายได้งบปี 2558 มีรายได้ 8,500-8,600 ล้านบาทโต 25-30% หลังรับรู้รายได้จาก TJM เข้ามา เชื่อกำไรปีนี้ดีกว่า พร้อมกางแผนซื้อกิจการเพิ่ม แย้มคุยกับบริษัทจีน 1 แห่ง และบริษัทไทย 1 แห่ง

TWZ รุกตั้งตัวแทนขายในพม่า วางเป้าช่วยดันยอดขายเติบโต
“TWZ” ดันบริษัทย่อย “ที แซด เทรดดิ้ง” เป็นหัวหอกรุกตลาดเมียนมาร์ ด้วยการร่วมงานแสดงสินค้า Myanmar Horeca 2015 ณ กรุงย่างกุ้ง ลุยตั้งบูธนำร่องขายสินค้าพร้อมชิมลางเปิดรับสมัครดีลเลอร์ทำหน้าที่ตัวแทนจำหน่าย

‘คูลลิซึ่ม’ มั่นใจปีนี้รายได้เติบโต 20% แตะ 535 ล้านบาท
“คูลลิซึ่ม” ตั้งเป้ารายได้ปี 58 พุ่ง 535 ล้านบาท โต 20% ชูกลยุทธ์ Soundation & Lifestyle Engagement บุกเต็มสูบ ทุ่มงบ 55 ล้านบาท บุกหนักจัดกิจกรรมการตลาด มั่นใจรักษาแชมป์วิทยุเพลงเพราะต่อเนื่อง 15 ปี ซ้อน

TRU ลั่นกำไรปีนี้เด้งรับยานยนต์ปีนี้ฟื้นตัว
“TRU” คาดกำไรสุทธิปีนี้ดีกว่าปีก่อนที่ทำได้ 152 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้โต 10% จากปีก่อนทำได้ 2,449.94 ล้านบาท รับอานิสงส์อุตสาหกรรมยานยนต์กลับมาเติบโต 10% เล็งร่วมทุนพันธมิตรแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ แย้มคุยอยู่ 1-2 แห่ง หลังบรรลุแผนร่วมทุนกับกลุ่ม TREX

PS-SPALI เด่นสุดกลุ่มอสังหาฯ ดีมานด์แนวราบดีหนุนรายได้-กำไรปีนี้โต
โบรกฯ เลือก PS-SPALI เด่นสุดกลุ่มอสังหาฯ คาดผลประกอบการโตสวนตลาดชะลอตัว รับดีมานด์แนวราบยังดีคาด PS โชว์กำไรกระฉูด 7,400 ล้านบาท ราคาเป้าหมาย 33 บาท ขณะที่ SPALI ราคาเป้าหมาย 26 บาท ลุ้นกำไรพุ่ง 5,300 ล้านบาท

BCE แย้มขึ้นค่าโฆษณาลุยแข่งขันยุคทีวีดิจิตอล ปรับผังรายการใหม่ เม.ย.
BEC ชี้แผนปรับขึ้นค่าโฆษณาปีนี้ หลังไม่ได้ขึ้นมา 3 ปีแต่ต้องดูการแข่งขันในทีวี “ยุคทีวีดิจตอล” ก่อน ด้านโบรกฯ มองปรับผังรายการทีวีดิจิตอลทั้งสองช่องใหม่ มีผลตั้งแต่เดือนเม.ย.58 เป็นต้นไป หวังเพิ่มเรตติ้งช่อง-รายได้โฆษณา

‘ทรีจี’ เจรจาเทกโอเวอร์ ‘คราฟต์’ ตีมูลค่าบริษัทสหรัฐ 40,000 ล้านดอลลาร์
คราฟต์ ฟู้ดส์ กรุ๊ป อิงซ์ กำลังเจรจากับทรีจี แคปิตอล บริษัทหุ้นเอกชนจากบราซิลเกี่ยวกับการเข้าถือสิทธิ์ โดยอาจจะตีมูลค่าคราฟต์ประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีความชัดเจนว่า ทรีจีได้ร่วมมือกับเบิร์กไซร์ แฮธาเวย์ อิงซ์ ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เหมือนที่ได้จับมือกันเพื่อเข้าถือสิทธิ์ในบริษัท เอช.เจ.ไฮนซ์ เป็นเงิน 23,200 ล้านดอลลาร์เมื่อสองปีก่อนหรือไม่ หุ้นคราฟต์ปรับตัวขึ้นถึง 16.5% เป็น 71.44 ดอลลาร์ หลังจากปิดตลาดเมื่อวันอังคาร

ดี-แลนด์ฯ สบช่องดอกเบี้ยลด งัดแคมเปญ ‘แปลงมุม คุ้มเวอร์’
“ดีแลนด์” รับกระแสดอกเบี้ยลด เดินหน้าอัดแคมเปญเด็ดดึงกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง สำหรับดี-แลนด์ กรุ๊ป จำกัด ล่าสุดมาพร้อมกับแคมเปญเด็ดสุดพิเศษ “แปลงมุม คุ้มเวอร์” จากโครงการเด่น ทำเลฮอต “บ้านดี เศรษฐกิจ” ราคาเพิ่มต้นเพียง 1.77 ล้านบาท เริ่มแล้ววันนี้ถึง 30 เม.ย.นี้

มั่นใจดัชนีครึ่งปีหลังฟื้นตัว บลจ.ธนชาต ออกกองทุนหุ้น ทริกเกอร์ฯ รับ
บลจ.ธนชาต ปรับพอร์ตการลงทุนรับเศรษฐกิจไทยฟื้นช่วงครึ่งหลัง หนุนตลาดหุ้นโต เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มมีเดีย สายการบิน วัสดุก่อสร้าง ไฟแนนซ์ สื่อสาร อาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มโรงกลั่น

‘MSIG’ ทุ่มซื้อประกันเพิ่ม จับมาควบรวมเสริมแกร่ง
MSIG เผยบริษัทแม่สั่งเดินหน้าหาธุรกิจเข้าควบรวมกิจการเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ยันไร้แผนเพิ่มทุน ส่วนผลการดำเนินงานปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายเบี้ยรับรวมโต 10% คิดเป็นเงินประมาณ 4,000 ล้านบาท

กสิกรฯ ยันรายใหญ่ไม่หลุดเป้า สินเชื่อโตได้ 4-5% โชว์ไตรมาส 1 ขยายตัว
กสิกรไทย (KBANK) ตุนดีลใหญ่ในมือหลายราย เผยไตรมาส 2/58 จะทยอยเบิกใช้สินเชื่อ เชื่อทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมาย 4-5% ส่วนตามาส 1/58 ขยายตัว 1% ด้าน NPL รักษาสิ้นปีไม่ให้เกิน 1.5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1%

ไทยพาณิชย์ส่งทริกเกอร์ฯ KTAM ปลื้ม 2 เดือนยีลด์พุ่ง
บลจ.ไทยพาณิชย์ ลุยทริกเกอร์ ฟันด์ ล็อคเป้า 6% ดีเดย์ขาย 26-30 มี.ค. ด้าน KTAM บริหารทริกเกอร์นอร์ทเอเชีย 2 เดือนเข้าเป้า 5%

‘บิ๊กตู่’ สั่งเลิกโควต้า 5 เสือ บอร์ดสลากฯ สรุป 27 มี.ค.-เดินหน้าออนไลน์
“ประยุทธ์” ย้ำยกเลิกโควต้าสลากกินแบ่งฯ กลุ่ม 5 เสือภายในเดือน ก.ค.นี้ พร้อมสั่งให้จัดสรรใหม่ทั้งหมด ส่วนคนพิการยังเหมือนเดิม ก่อนเดินหน้าหวยออนไลน์ ด้านบร์อดสลากฯ ประชุมวันที่ 27 มี.ค. สรุปแผนจัดสรรโควต้า –สรุป

สรุปข่าวหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


'อีสเทิร์นโพลีเมอร์' รุกซื้อกิจการ เจรจา 2 บริษัทในจีน-คาดสรุปปีนี้
สนลงทุนในยุโรปหลังราคาสินทรัพย์ร่วง
อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป เดินหน้าควบรวมกิจการหวังขยายไลน์ธุรกิจ รับการเติบโตรูปแบบเดิมเริ่มถึงทางตัน เร่งเจรจาซื้อกิจการ 2 บริษัทในประเทศจีนเพื่อเพิ่มศักยภาพการครองตลาดต่างประเทศ พร้อมวางเป้ารายได้ปี 2558 - 2559 โต 25-30 %

โลจิสติกส์แห่ขายไอพีโอหวังขยายธุรกิจ
เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นไอพีโอ 120 ล้านหุ้น นำเงินระดมทุนขยายกิจการ ด้านเอทีพี 30 ตั้งแอสเซท โปร เป็นที่ปรึกษา เตรียมยื่นไฟลิ่ง มี.ค.นี้

กลต.เข้มคุมเพิ่มทุน 'พีพี' บริษัทจดทะเบียนหวั่นใช้เวลานานกระทบธุรกิจ
เล็งกำหนดราคาขายให้ข้อมูล ต้องขออนุญาต ปิดเฮียริ่ง 2 เม.ย.นี้
ก.ล.ต.เข้มคุมเพิ่มทุนพีพี-ให้ระมัดระวัง การให้ข้อมูลและต้องขออนุญาตก่อนจัดสรรพีพี เปิดเฮียริ่งถึงวันที่ 2 เม.ย.นี้ ด้านที่ปรึกษาทางการเงิน-รายใหญ่ เห็นพ้องมองเป็นสิ่งที่ดีเชื่อช่วยป้องกันผู้ถือหุ้นเดิมถูกเอาเปรียบ ขณะที่บริษัทจดทะเบียนหวั่นขั้นตอนมากใช้เวลาระดมทุนนานอาจกระทบธุรกิจ

กสิกรคาด 'รายใหญ่' กำไรนิ่ง ชี้แนวโน้มซื้อกิจการคึกคัก
กสิกรไทยชี้เศรษฐกิจชะลอกดดันการทำกำไรของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง 1-2% ในปีนี้ มั่นใจฐานะการเงินยังดีไม่กระทบความสามารถการชำระหนี้ ขณะเดียวกันแนวโน้มการซื้อ-ควบรวม ยังเพิ่มขึ้นถึงปีหน้าในกลุ่มรายใหญ่ด้วยกันเองเผยมีโอกาสลงทุนต่างประเทศเพิ่มจากค่าเงินยุโรปที่อ่อนค่า คาด 2-3 ปีข้างหน้าเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศเพิ่มเป็น 1 ล้านล้าน ส่วนสินเชื่อไตรมาสแรกยังโต 1%

กลุ่มโรงแรมลุ้น 'ท่องเที่ยว' ฟื้นเกณฑ์ภาษีที่ดินใหม่ไม่กระทบ
สมาคมโรงแรมคาดอัตราเข้าพักปีนี้แตะ 80% เทียบปีก่อนที่ 60-65% จาก แรงหนุนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น ด้าน 'เซ็นเทล' ชี้จำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้มากกว่าที่ ททท.ประเมินไว้ ขณะที่ผู้บริหารมองเกณฑ์คำนวณภาษีที่ดินใหม ช่วยลดผลกระทบ

'ไทยรุ่ง' ปรับเพิ่มไลน์ผลิต รุกตลาดชิ้นส่วนรถบรรทุก
ไทยรุ่งฯ พร้อมผลิตชิ้นส่วนรถบรรทุกกลางปีนี้ หลังโรงงานเสร็จ เม.ย.2558 ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10% ใกล้เคียงอุตสาหกรรมยานยนต์ หวังมอเตอร์โชว์กระตุ้นตลาดคึกคัก ด้านโบรกเกอร์คาดกำไรกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ปีนี้เพิ่มขึ้น 20%

KTB รอยกซดโครงการน้ำปันผลงาม

KTBรอยกซดโครงการน้ำ

2015-03-26 12:01:00
ผู้เข้าชม : 2

ขุนคลังปรับแผนโครงการน้ำ และซ่อมถนน หันมาใช้เงินกู้ในประเทศ เหตุดอกเบี้ยปรับลด ด้านโบรกฯ มองแบงก์กรุงไทย นับเงินรอปล่อยทันที ส่วน 2 เดือนแรก สินเชื่อขยายตัวมากสุดกลุ่มธนาคาร ขึ้น XD 21 เม.ย. ผลตอบแทนเงินปันผล 4%

นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การเงินกู้ 5.7 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการซ่อมถนน และโครงการบริหารจัดการน้ำ จะเป็นการกู้ในประเทศ เพราะต้นทุนทางการเงินในขณะนี้ต่ำกว่าการกู้จากต่างประเทศ
"เงินกู้ 5.7 หมื่นล้านบาทดูแล้วน่าจะกู้ในประเทศมากกว่า เพราะต้นทุนตอนนี้ถูกกว่า แต่คงยังไม่รีบกู้ตอนนี้ เพราะโครงการยังไม่เกิด การเตรียมโครงการใช้เวลาอีก 4-5 สัปดาห์ในการคัดเลือกบริษัทที่จะมาทำงาน กู้มาตอนนี้ก็ยังไม่ได้ใช้" รมว.คลัง กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างมองว่า การปรับแผนการกู้เงินในโรงการดังกล่าวของคลัง ถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มธนาคาร และคาดว่าธนาคารที่จะได้รับประโยชน์มากสุดคือ กรุงไทย หรือ KTB
นายอดิสรณ์มุ่งพาลชล บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า KTB จะมีสินเชื่อเติบโตต่อเนื่องได้ในเดือนมี.ค. และทำให้สินเชื่อของทั้งไตรมาส 1/58 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปี2557 และการที่สินเชื่อเติบโตประกอบกับคาดว่าค่าใช้จ่ายที่ลดลงน่าจะทำให้ผลประกอบการไตรมาส1/58 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/57
การปรับเพิ่มการตั้งสำรองปกติขึ้นมาอาจจะทำให้ผลประกอบการไตรมาส 1/58 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/57 ทรงตัวหรืออาจจะลดต่ำลง โดย KTB เป็นธนาคารที่มีเงินปันผลน่าสนใจเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ซึ่งประกาศจ่ายปันผลจากผลประกอบการปี2557 ที่ 0.90 บาท/หุ้นคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 3.9% โดย KTB ยังไม่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลออกมา จะมีการขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 21 เม.ย. และ จ่ายในวันที่ 8 พ.ค. 58
ส่วนปี2558 คาดว่า KTB จะมีการจ่ายปันผล 1 บาท/หุ้นคิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 4.4% โดยประมาณการจากกำไรสุทธิปี2558 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.8 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 14.7% จากปีก่อนหน้าซึ่งเป็นระดับการขยายตัวของกำไรสุทธิที่โดดเด่นในกลุ่มธนาคารโดยจากการที่ทางฝ่ายคาดว่าในปีนี้ KTB จะไม่มีการตั้งสำรองพิเศษส่งผลให้ระดับการตั้งสำรองลดต่ำลงและส่งผลดีต่อกำไรสุทธิ
นอกจากนี้ยังคงมองว่าด้วยการที่ KTB เป็นธนาคารที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลจะทำให้ KTB ได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐและทำให้สินเชื่อรวมไปถึงผลประกอบการเติบโตยังคงราคาพื้นฐานไว้ที่ 28 บาท และยังคงแนะนำ "ซื้อ"
นายธนเดชรังษีธนานนท์ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.กรุงศรีกล่าวว่า ยังคงแนะนำซื้อหุ้น KTB ราคาเป้าหมาย 27.50 บาทซึ่งได้รับประโยชน์จากการลงทุนของรัฐและการตั้งสำรองหนี้ลดลงผลักดันกำไรเติบโตดีขึ้นเป็น Top pick ในกลุ่มธนาคาร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง


    JAS เล็งลดทุนหุ้นที่ซื้อคืน142ล้านหุ้นหรือประมาณ2% หาพันธมิตรเป็นเกาหลีหรือญี่ปุ่นร่วมทำmobile broadband

    JASดึงญี่ปุ่น-เกาหลีลุย4G
    มุ่งทำโมบายล์บรอดแบนด์
    :เล็งนำหุ้นซื้อคืน 142.73 ล้านหุ้นมาลดทุน

    2015-03-26 12:04:00
    ผู้เข้าชม : 13

    "JAS" เล็งดึงพันธมิตรญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ 1 ราย ร่วมทุนเข้าประมูล 4G เพื่อทำธุรกิจโมบายล์บรอดแบนด์ 4G เตรียมเงินลงทุนไว้ 3.5 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าลูกค้า 2 ล้านรายใน 2 ปี "พิชญ์" ลั่นกำไรปีนี้โต20% เล็งนำหุ้นซื้อคืน 142.73 ล้านหุ้นมาลดทุน

    นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จากัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเข้าร่วมประมูล 4G ที่คาดว่าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะเปิดประมูลในช่วงไตรมาส 4/58 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างคัดเลือกพันธมิตรผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในเกาหลีใต้ และญี่ปุ่นเข้ามาร่วมทุนด้วย จำนวน 1 ราย จากที่มีการเจรจาทั้งหมด 3 ราย ซึ่งพันธมิตรจะนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมศักยภาพที่บริษัทมีอยู่       
    “ในเรื่องพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทุนขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ และดูประกาศของ กสทช.ด้วยว่าจำเป็นต้องมีพันธมิตรหรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องสรุปได้ก่อนเข้าประมูล แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องมีพันธมิตร เราอาจจะประมูลก่อน แล้วพันธมิตรเข้ามาทีหลัง ซึ่งจะเป็นการตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาอยู่ภายใต้ JAS โดยพันธมิตรจะเข้ามาถือหุ้นไม่เกิน 50% อย่างไรก็ตามแม้ไม่มีพันธมิตร เราก็เข้าประมูล แต่โอกาสที่เราจะมีพันธมิตรเข้ามามีสูง" นายพิชญ์ กล่าว
    ทั้งนี้ การเข้าร่วมประมูล 4G เพื่อจะนำมาทำธุรกิจ Mobile Broadband 4G โดยประเมินเงินลงทุนอยู่ที่ 25,000-35,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใบอนุญาต 15,000-20,000 ล้านบาท และเงินลงทุนอุปกรณ์อื่นๆ ไม่รวมเสาโทรคมนาคม 10,000-15,000 ล้านบาท ในส่วนของเสานั้นบริษัทมีแผนที่จะเช่าจาก Infrastructure ซึ่งในกรณีที่ไม่สามารถเช่าได้นั้น บริษัทจะลงทุนสร้างเอง ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างได้ปีละ 2,000-3,000 เสา โดยจำนวนที่ครอบคลุมทั่วประเทศอยู่ที่ 10,000 เสา ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ปี จากนั้นขายเข้า JASIF และทำสัญญาเช่าแทน  
    ส่วนแผนการจัดหาเงินลงทุน จะมาจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) ที่เหลืออีกกว่า 10,000 ล้านบาท และเงินจากพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมลงทุนอีก 10,000 ล้านบาท รวมถึงเงินที่ได้จากการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) ครั้งที่ 3 หรือ JAS-W3 จำนวนประมาณ 15,000 ล้านบาท 
    ขณะเดียวกัน ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมนั้น บริษัทก็จะพิจารณาระดมทุนด้วยการกู้ยืม ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำกว่า 0.5 เท่า ทำให้สามารถกู้เงินได้อีก 10,000-15,000 ล้านบาท ประกอบกับบริษัทยังมีกองทุน JASIF ซึ่งสามารถกู้เงินได้ถึง 3 เท่าของมูลค่ากองทุน หรือกว่า 150,000 ล้านบาท
    “ถ้าหากเราประมูลได้ 1 ใบอนุญาต เราจะทำ Mobile Broadband 4G โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา คือ กลุ่มที่ใช้สมาร์ทโฟน ซึ่งขณะนี้ในตลาดมีสมาร์ทโฟนที่รองรับ 4G ได้ถึง 30 กว่าล้านเครื่อง และเรามองว่าในไทยยังไม่มี Mobile Broadband มีแต่ Mobile Internet ดังนั้น เรามองว่ายังมีโอกาสอีกมาก ตั้งเป้ามีลูกค้า 1-2 ล้านราย ใน 1-2 ปี” นายพิชญ์ กล่าว
    อย่างไรก็ตาม กรณีที่บริษัทไม่สามารถประมูลใบอนุญาต 4G ได้ บริษัทยังมีธุรกิจบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้ไม่ธุรกิจ Mobile Broadband 4G เติบโต 20-25% จากปีก่อนที่ทำได้ 12,411 ล้านบาท และกำไรสุทธิเติบโต 15-20% จากปีก่อนที่ทำได้ 3,271 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 350,000-360,000 ราย ทำให้สิ้นปีนี้มีลูกค้ากว่า 2 ล้านราย จากปีก่อนอยู่ที่ 1.67 ล้านราย เป็นลูกค้าเขตกรุงเทพฯ 30% และต่างจังหวัด 70%
    โดยคาดว่าในไตรมาส 1/58 มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 80,000 ราย จากปีก่อนมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นไตรมาสละประมาณ 60,000 ราย ดังนั้นทำให้สิ้นไตรมาส 1/58 มีลูกค้าทั้งสิ้นประมาณ 1.7 ล้านราย จากปีก่อนมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นไตรมาสละประมาณ 60,000 ราย          
    สำหรับงบลงทุนในการขยายโครงข่ายบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตในปีนี้อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อนที่ใช้งบลงทุนอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท เพื่อขยายได้ทั่วทุกตำบล หรือ 7,000 ตำบล จากปีก่อนทำได้ 3,400 ตำบล เพื่อขยายการให้บริการครอบคลุมพื้นที่ 100%
    นายพิชญ์ กล่าวต่อว่า กรณีที่มีข่าวลือที่มีออกมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าได้ตนเองขายหุ้น JAS นั้น ขอยืนยันว่าไม่ได้มีการขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมาแต่อย่างใด ส่วนกรณีการประกาศขายหุ้นที่ซื้อคืนในตลาดฯ จำนวน 142.73 ล้านหุ้นนั้นเป็นเพียงแจ้งตามขั้นตอนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งหากดูในอดีต 4 ครั้งที่ผ่านมาบริษัทซื้อหุ้นคืนมาแล้วไม่เคยขายหุ้นคืนกลับไปในตลาดฯ แต่ใช้วิธีการลดทุน และในครั้งนี้ก็คาดว่าแนวโน้มก็จะดำเนินการเหมือนครั้งก่อน แต่ก็ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทก่อน
    ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 16 มีนาคม 2558  กลุ่มนายพิชญ์ โพธารามิก ถือหุ้นอยู่ใน JAS จำนวน 27.84% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด 
    แหล่งข่าวจากวงการหลักทรัพย์ กล่าวว่า พันธมิตรที่เข้ามาร่วมทุนกับ JAS น่าจะเป็นพันธมิตรในเกาหลีใต้มากกว่าญี่ปุ่น เนื่องจากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในเกาหลีใต้ไม่ว่าจะเป็น SK Telecom, TK Telecom และ U+ ให้บริการ 4G บนคลื่นความถี่ที่ใกล้เคียงกับคลื่น 1800 MHz และคลื่น 900 MHz ที่กำลังจะเปิดประมูลในขณะนี้มากที่สุด ประกอบกับพันธมิตรของบริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ก็เป็นเกาหลีใต้เช่นกัน ดังนั้นในเชิงความสัมพันธ์พันธมิตรจากเกาหลีใต้มีมากกว่าพันธมิตรจากญี่ปุ่น

    วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

    น่าซื้อหรือยัง


    Smile ดัชนีหุ้นไทยโตอืดรองบ๊วยภูมิภาค โบรกแนะหาจังหวะซื้อ บจ.พื้นฐานดีลุ้นราคาพุ่ง20%

    ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

    ตลาดหุ้นไทยช่วงกว่า 2 เดือนแรกของปีดัชนีแกว่งตัวขึ้นน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค รองจากสิงคโปร์ ฟากโบรกฯแนะได้จังหวะซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และมีโอกาสทำกำไรจากราคาที่ปรับตัวขึ้นเกินกว่า 20%
    ชื่อ:  0.jpg
ครั้ง: 13810
ขนาด:  141.1 กิโลไบต์
    นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (18 มี.ค. 58) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นเพียง 2.3% ซึ่งต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาครองจากตลาดหุ้นสิงคโปร์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.6% และน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ดัชนีเพิ่มขึ้นกว่า 11.6% จีน 10.8% ฟิลิปปินส์ 8.1% เกาหลีใต้ 6.4% ไต้หวัน 4.6% อินโดนีเซีย 4.3% อินเดีย 3.9% ฮ่องกง 3.7% มาเลเซีย 2.7%

    ทั้งนี้เป็นผลมาจากตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยใหม่สนับสนุน จึงทำให้ดัชนีไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปได้ไกลนัก อย่างไรก็ตาม จากการที่ตลาดเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ประกอบกับการที่ดัชนีและราคาหุ้นปรับลดลงมาค่อนข้างมาก จึงเป็นจังหวะที่ีเหมาะสมในการสะสมหุ้น เพราะปัจจุบันราคาหุ้นของหลายบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ได้ปรับลดลงจนมี Upside (แนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น) ที่น่าสนใจ

    โดยฝ่ายวิจัยได้คัดเลือกหุ้น ด้วยการกำหนดคุณสมบัติบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่น่าสนใจ คือ มีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปี 2558 สูงกว่า 20% อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่คาดหวัง (Expected PER) ต่ำกว่า 12 เท่า ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 5% ขึ้นไปในงวดปี 2558 และมีโอกาสทำกำไรจากราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น (Upside) เมื่อเทียบกับราคาที่เหมาะสมสูงกว่า 20% โดยผลการคัดกรอง ทำให้ได้หุ้นที่น่าสนใจลงทุน 5 บริษัท (ดูตาราง) ซึ่งถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนในช่วงนี้

    ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2/2558 ทิศทางตลาดหุ้นน่าจะอยู่ในช่วงพักฐาน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ช้า ส่งผลให้ยังมีความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นไทยจะถูกกดดันจากการปรับลดคาดการณ์ผลการดำเนินงานลงอีกระลอก

    อย่างไรก็ตามแนะนำนักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว โดยหาจังหวะเข้าซื้อสะสมในช่วงที่ตลาดปรับตัวลดลงในระดับต่ำ ขณะที่กลุ่มหุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำนักลงทุนเลือกลงทุนแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ คือ 1) กลุ่มหุ้นขนาดกลาง ที่มีแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการที่ดี ได้แก่ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP), บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR), บมจ.เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) และ บมจ.เอสทีพีแอนด์ ไอ (STPI)

    2) กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่ได้อานิสงส์จากอำนาจการผูกขาดธุรกิจและได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังได้แก่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS), บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN)

    3) กลุ่มหุ้นที่อิงรายได้จากต่างประเทศ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ บมจ.เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI), บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) และกลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มรับเหมาวางระบบไอซีทีที่จะได้รับอานิสงส์จากงานโครงการภาครัฐ ได้แก่ บมจ.แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี (AIT), บมจ.อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น (IRCP)