SCCน่าซื้อเป้า644บาท
กำไรQ3พุ่ง9.5พันล้าน
2015-09-09
SCC พื้นฐานแกร่ง ลุ้นงบไตรมาส 3 โชว์กำไร 9,500 ล้านบาท โตขึ้น 21% จากปีก่อน รับผลบวกธุรกิจปิโตรเคมี-วัสดุก่อสร้างฟื้นตัว โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมาย 644 บาท อัพไซด์บาน 30%
สำนักวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ประเมินว่า แนวโน้มผลการดำเนินงวดไตรมาส 3/58 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC จะมีโอกาสทำกำไรสุทธิที่ระดับ 9.5 พันล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 7,846 ล้านบาท
โดยงวดไตรมาส 3/58 ที่มีกำไรจำนวน 9.5 พันล้านบาท ซึ่งแม้บริษัทรับรู้ผลกระทบของราคาน้ำมันที่ลดลงแล้ว แต่ผลประกอบการยังเติบโตดีจากอัตรากำไรของปิโตรเคมีที่ดีขึ้น (ทั้ง PE และ PP-naphtha) รวมถึงอุปสงค์ของวัสดุก่อสร้างและบรรจุภัณฑ์จะดีขึ้นเล็กน้อย
นอกจากนี้ มองว่าธุรกิจปิโตรเคมียังมีปัจจัยผลักดัน โดยแม้ SCC จะปรับตัวดีกว่าตลาดในช่วง 3-12 เดือน แต่การดำเนินงานที่ดีขึ้นจะทำให้ราคาหุ้นมีปัจจัยหนุนมากขึ้นเช่นกัน โดย ณ ราคาปัจจุบันที่ PER 13 เท่า ทำให้มีอัพไซด์ รวมถึงมีปัจจัยหนุนทั้งส่วนต่างของราคาปิโตรเคมีและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในปีหน้า กำหนดแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 644 บาท
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SCC กำหนดราคาเป้าหมาย 600 บาท โดยคาดว่าบริษัทจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์ต่อการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ต่อ up-cycle ของปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์
สำหรับตั้งแต่ต้นไตรมาส 3 จนถึงปัจจุบัน HDPE สเปรดอยู่สูงกว่า 800 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งที่ผ่านมาคาด ราคาหุ้นได้รับผลกระทบจากความกังวลของนักลงทุนต่างชาติต่อความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศ อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของราคาหุ้นถือเป็นโอกาสเข้าซื้อเพื่อรอการรับรู้กำไรของโรงงานปูนซีเมนต์ในต่างประเทศในปี 2559
โดย SCC มีการลงทุนสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ใน 4 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย พม่า และลาว เพื่อกระจายความเสี่ยงของความไม่แน่นอนทางการเมืองของประเทศไทยที่อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ในประเทศ นอกจากนี้ ส่งผลให้กำลังการผลิตของ SCC จะเพิ่มขึ้น 6.3 ล้านตันในช่วงปี 2558-2560 ดังนั้น กำลังการผลิตที่เข้ามาใหม่จะช่วยหนุนกำไรของ SCC และลดความผันผวนของกำไรในธุรกิจเคมีภัณฑ์ในช่วงดังกล่าว
อีกทั้ง คาดว่าการเร่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐจะส่งผลบวกต่อความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศ โดยประเมินความต้องการใช้ซีเมนต์จะเติบโตประมาณ 3% ต่อปี โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงครึ่งหลังปี 2558 หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศไม่เติบโตจากการถ่วงของกลุ่ม Commercial และที่อยู่อาศัยซึ่งปรับตัวลดลง 3-5%
ทั้งนี้ จากการสำรวจความเคลื่อนไหวราคาหุ้น SCC ล่าสุดในวานนี้ (8 ก.ย.) ปิดการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 494 บาท ปรับลดลง 6 บาท หรือคิดเป็นลดลง 1.20% เมื่อเทียบกับราคาปิดก่อนหน้า ทำราคาสูงสุดของวันที่ 498 บาท ต่ำสุดของวันที่ 490 บาท มูลค่าการซื้อขายรวม 1,154 ล้านบาท
ดังนั้น ราคาหุ้นล่าสุดที่ 494 บาท เท่ากับมีอัพไซด์รวม 30% เมื่อเทียบราคาเป้าหมาย 644 บาท ขณะที่ผลประกอบการงวดไตรมาส 3/58 ที่นักวิเคราะห์คาดมีกำไร 9,500 ล้านบาท เท่ากับโตขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,846 ล้านบาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น