ได้เวลาทิ้งหุ้นทั่วโลกหรือซื้อหุ้นเพิ่ม ?
2015-09-04
ความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนยังคงทำให้ตลาดทั่วโลกกระวนกระวายใจแต่ที่ปรึกษาทางการเงินส่วนใหญ่กำลังบอกให้ลูกค้าจัดสรรการลงทุนในหุ้นระหว่างประเทศต่อไปและบางคนถึงขนาดกำลังเลือกซื้อหุ้นอย่างสนุกสนาน
โฮเวิร์ดเพรสส์แมน ที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัทอีแกนเบอร์เกอร์ แอนด์ วีนเนอร์ในเวียดนาม กล่าวว่าการประเมินมูลค่ายังคงน่าสนใจทั้งหุ้นในตลาดที่พัฒนาแล้วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในตลาดเกิดใหม่และเชื่อว่านี่คือโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนในระยะยาวที่จะหาประโยชน์จากความผันผวนในระยะสั้น
ที่ปรึกษาทางการเงินหลายคนชอบหุ้นต่างชาติเพราะมีผลตอบแทนและความเสี่ยงต่างจากหุ้นสหรัฐฯเนื่องจากสามารถกระจายพอร์ตและป้องกัน “ความเอนเอียงที่จะลงทุนในบ้านได้” แต่มีคำถามคือนักลงทุนควรจะลงทุนในตลาดทั่วโลกมากเพียงไร?
จากข้อมูลขอบีสโปกอินเวสเมนต์ กรุ๊ปสหรัฐฯ มีมูลค่าตลาดประมาณ 36% ของโลก จากข้อมูลเมื่อเดือนมีนาคม 2558 นั่นหมายถึงว่าพอร์ตลงทุนที่โฟกัสไปที่หุ้นสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียวจะไม่มีหุ้นมากกว่า 60% ที่เป็นโอกาสของหุ้นที่มีอยู่ทั่วโลก
ชาร์ลส เลวินเจ้าหน้าที่วางแผนการเงินในเวย์แลนด์แมสซาชูเสตต์กล่าวว่าเขาแนะนำให้นักลงทุนลงทุนหุ้นในสหรัฐฯ 60% และลงทุนหุ้นในต่างประเทศ 40%
จากการวิเคราะห์ของแวนการ์ดกรุ๊ป นักลงทุนกองทุนรวมสหรัฐฯ ถือหุ้นกองทุนนอกสหรัฐฯ เพียง 27% โดยเฉลี่ยเมื่อเดือนธันวาคม 2556 และพบว่าการจัดสรรไปลงทุนในหุ้นต่างชาติ 20% เป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่อย่างไรก็ดีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเข้ามาจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศอาจทำให้ผลตอบแทนลดลงได้แม้ว่าตลาดทั่วโลกได้เริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่ต้นทุนมักสูงกว่านักลงทุนในสหรัฐฯ เช่นมีค่าใช้จ่ายสำหรับกองทุนหุ้นระหว่างประเทศและสเปรดในการขอซื้อและขาย
นักวิจัยของแวนการ์ดสรุปว่าการจัดสรรหุ้นต่างชาติเกิน 40%ในอดีตไม่ได้เพิ่มประโยชน์ในการกระจายพอร์ตมากเพราะมีต้นทุนและสำหรับนักลงทุนหลายคนควรจะพิจารณาจัดสรรหุ้นต่างชาติระหว่าง 20-40% จึงจะสมเหตุสมผล
แน่นอนว่าในเศรษฐกิจทั่วโลกบริษัทสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ส่วนใหญ่มีความเสี่ยงในตลาดระหว่างประเทศ
จากการวิจัยของเอสแอนด์พีดาวโจนส์ อินไดซ์เมื่อปีที่ผ่านมาเปอร์เซ็นต์รายได้จากยอดขายในต่างประเทศของบริษัทที่อยู่ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 เติบโตขึ้นหลังจากที่ชะงักงันมาห้าปีและอัตรารายได้โดยรวมของปี 2557 อยู่ที่ 47.8% เพิ่มจาก 46.2% ในปี 2556
ยอดขายจากเอเชียของบริษัทในเอสแอนด์พี 500 เมื่อปีที่แล้วเติบโตขึ้นแต่ไม่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดย 7.8% ของยอดขายของบริษัทในเอสแอนด์พี 500 มาจากเอเชีย เพิ่มจาก 7.7% ในปี 2556 และ 7.5% ในปี 2545 อย่างไรก็ดีบริษัทสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ไม่ได้แยกยอดขายในจีนทำให้ยากที่จะติดตามว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลกระทบต่อกำไรเพียงไร
ที่ปรึกษาด้านการลงทุนกล่าวว่ากุญแจสำคัญนักลงทุนระยะยาวคือต้องผสมผสานหุ้นต่างชาติหรือกองทุนหุ้นต่างชาติให้ดีโดยอย่างให้กระจุกอยู่ในภูมิภาคหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง
“ความวุ่นวายในจีนจะกลายเป็นปัญหาหากคุณไม่กระจายการลงทุนและให้น้ำหนักในจีนมากเกินไปหากสถานการณ์ในจีนมีความสำคัญต่อคุณแสดงว่าคุณมีที่ปรึกษากลยุทธ์และแผนการที่ผิดพลาด” สก็อต แฮนสัน นักวางแผนการเงินของอีเอฟเอสแอดไวเซอร์ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น