KBANKกำไรวูบ10% คาดตั้งสำรองเพิ่ม กว่า6.7พันล้านบาท
2015-10-01
หุ้นกสิกรไทย (KBANK) ถูกทิ้งออกมาหนัก หลังการนักวิเคราะห์ประชุมกับผู้บริหารธนาคารวานนี้ คาดจะต้องตั้งสำรองเพิ่มกว่า 6.7 พันล้านบาท หลังเอ็นพีแอลพุ่ง ส่งผลกำไรวูบ 10%
วานนี้ (30 ก.ย.) มีการประชุมของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์กับผู้บริหารของธนาคารกสิกรไทย โดยหลังการประชุม พบว่า ราคาหุ้นของ KBANK ถูกทิ้งลงมาอย่างหนัก โดยมาปิดตลาดลบ 4 บาท มาที่ 171 บาทา เปลี่ยนแปลง -2.29% มูลค่าการซื้อขายเป็นอันดับ 1 กว่า 2,473 ล้านบาท
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ช่วงไตรมาส 3/58 คาดว่า การทำกำไรของธนาคารจะปรับตัวลดลงจากช่วงไตรมาส 2/58 ประมาณ 10% มาอยู่ที่ระดับ 10,000-10,500 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วงไตรมาส 2/58 ที่ทำกำไรได้สูงถึง 15,000 ล้านบาท
การลดลงของกำไรครั้งนี้เป็นผลมาจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารช่วงไตรมาส 3/58 ขยับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสที่ผ่านมาจาก 2.4% เป็น 2.6% ส่งผลให้ธนาคารจำเป็นต้องตั้งสำรองหนี้เสียพิเศษต่อเนื่องจากช่วงไตรมาสที่ผ่านมา
และเชื่อว่าธนาคารยังคงมีแผนที่จะตั้งสำรองหนี้เสียดังกล่าวในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ต่อเช่นกัน เพราะแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของ NPL ยังมีอยู่ หากภาพเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวเร็วไปกว่าเดิม โดยเฉพาะหนี้เสียที่เกิดจากธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่เป็นตัวดันหนี้เสียของธนาคารเพิ่มขึ้นในแต่ละไตรมาส ซึ่งไตรมาส 3/58 ก็เช่นกันที่หนี้เสียจากกลุ่ม SME เป็นตัวหลักทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองหนนี้เสียพิเศษ
สำหรับ NPL ไตรมาส 3/58 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/58 ที่มีอยู่ทั้งสิ้น 2.4% เป็น 2.6% ในไตรมาสนี้ หรือ คิดเป็นเม็ดเงินเพิ่มขึ้นจาก 41,000 ล้านบาทในไตรมาส 2/58 เป็น 45,000-46,000 ล้านบาท ในไตรมาส 3/58 ส่งผลให้ธนาคารจำต้องตั้งสำรองหนี้เสียพิเศษในไตรมาส 3/58 เพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% จากไตรมาส 2/58 หรือเพิ่มเม็ดเงินตั้งสำรองฯจาก 6,000 ล้านบาทในไตรมาส 2/58 เป็น 6,700 ล้านบาทในไตรมาส 3/58 ทั้งนี้ เชื่อว่าธนาคารยังคงแผนตั้งสำรองในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เช่นกัน
นายธนเดช กล่าวว่า แม้ว่ากำไรธนาคารไตรมาส 3/58 จะลดลง แต่รายได้ของธนาคารยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3/58 รายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 38,000 ล้านบาทจากช่วงไตรมาส 2/58 ทั้งนี้ เป็นผลมาจากรายได้ค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) ของธนาคารเติบโตดี เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าประมาณ 5-10% คิดเป็นเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1,300 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสก่อนหน้าค่าฟีเพิ่มขึ้น 1,1600 ล้านบาท ส่วน NIM หรือ ส่วนต่างของอัตราสินเชื่อของธนาคารใกล้เคียงกับไตรมาส 2/58 อยู่ที่ 3.6%
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมธุรกิจธนาคารกสิกรไทยปีนี้ยังมีมุมมองที่ดี เมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่อื่นที่มีการตั้งสำรองพิเศษเพิ่มจำนวนมาก สินเชื่อยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 6-6.5% พร้อมกันนี้ อยู่ระหว่างพิจารณาการปรับประมาณการกำไรธนาคารและราคาเป้าหมายที่เหมาะสมใหม่ จากภาวะการตั้งสำรองหนี้เสียพิเศษเพิ่มขึ้น ด้านนักลงทุน แนะ “ถือ”
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK กล่าวว่า ผลการดำเนินงานธนาคารช่วงไตรมาส 3/58 ธนาคารยังคงมีแผนที่จะต้องตั้งสำรองหนี้เสียพิเศษต่อเนื่องจากช่วงไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากแนวโน้มหนี้เสียของธนาคารยังคงขยับตัวเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นในจำนวนที่ไม่มากก็ตาม แต่เพื่อเป็นการควบคุมความเสี่ยงไว้ก่อนการตั้งสำรองหนี้เสียพิเศษจึงยังคงมีอยู่
ทั้งนี้ ธนาคารได้วางแผนการตั้งสำรองหนี้เสียพิเศษดังกล่าวไว้อยู่แล้ว โดยเป็นหนึ่งในการวางแผนระยะยาว และเชื่อว่าธนาคารไทยในระบบต่างก็มีแผนตั้งสำรองหนี้เสียพิเศษช่วงไตรมาส 3/58 นี้เช่นเดียวกัน ต่างกันเพียงแค่จำนวนเงินที่นำมาใช้สำรองว่าแต่ละธนาคารจัดการอย่างไร
ส่วน NPL ของธนาคารกสิกรไทยในขณะนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่เป็นการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐบาลเดินหน้าได้เร็วขึ้นก็จะช่วยได้มากในเรื่องของการรักษาระดับหนี้เสียที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และจากการที่มีทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ เชื่อว่าน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้บ้าง แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาสักเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยช่วงปี 2559 จะเติบโตอยู่ที่ระดับ 3.2-3.5% ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อ คาดว่าโตใกล้เคียง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น