หลังจาก SET INDEX พยายามจะทดสอบแนวต้านแถว 1,600 จุด ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาก็ไม่ผ่าน ทำให้มีการปรับตัวลงไป แถว 1,500 ต้นๆ ในเดือนตุลาคม แล้วก็มีแรงฮึดวิ่งขึ้นมาอีกรอบที่พยายามจะทดสอบ 1,600 จุดอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถผ่านแนวต้านนี้ไปได้ โดยเฉพาะเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา SLT INDEX ลงหนักไปกว่า 22 จุด นับว่าเป็นการลงภายในวันเดียวที่มากที่สุดในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา และก็เป็นไปตามแพทเทิร์นเดิมๆ คือ นักวิเคราะห์ต้องหาเหตุมาสนับสนุนผล และตันเหตุคราวนี้ก็มาจากข่าวลือเกี่ยวกับการปฏิวัติซ้อน คงจะเป็นเพราะบทสัมภาษณ์ของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งได้แพร่สะพัดไปใน SOCIAL MEDIA ต่างๆ เรื่องปฏิวัติซึ่งไม่เป็นเรื่องจริง นักลงทุนที่หวั่นไหวไปกับข่าวนี้ จึ่งช่วยเทกันขายหุ้นในตลาดอีกแรง จริงๆแล้วการที่มีมาตรา 44ก็เป็นเกราะป้องกันการปฏิวัติซ้อนของ คสช. อยู่แล้ว การเป็นนักลงทุนที่ดีต้องมีความหนักแน่น และตรวจสอบข้อมูลข่าวสารต่างๆ อย่างระมัดระวังและรอบคอบ อย่างไรก็ตามการที่ SET INDEX จะตีฝ่าทะลุ 1,600 จุด คงต้องมีข่าวดีใหม่ ๆ มาสนับสนุน มิฉะนั้นในระยะสั้นยังมองไม่เห็นโอกาส
กลับมาคุยกันต่อเรื่องประกันภัยครับ 2 บทความที่แล้วผมเน้นพูดถึงเรื่องประกันชีวิต แต่บทความนี้ผมจะพูดถึงประกันภัย เมื่อเปรียบเทียบINSURANCE PENETRATION AS % OF GDP. ของไทยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.7 – 1.8 % ในขณะที่เกาหลีอยู่ที่ประมาณเกือบ 4% เมื่อมองแบบนี้แล้วทำให้เห็นได้ว่าการทำประกันภัยภายในประเทศยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ นี่ขนาดว่าเรามีบทเรียนจากภาวะน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี พ.ศ.2554 ทำให้ภาคเอกชนเริ่มเล็งเห็นประโยชน์จากการทำประกันภัยมากขึ้นแล้วก็ตาม และเมื่อมาดูบริษัทประกันภัยที่ทำธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะ TOP 5 ของธุรกิจประกันภัยในประเทศล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทสัญชาติไทยทั้งสิ้น และในภาพรวมบริษัทประกันภัยที่ทำธุรกิจในประเทศส่วนใหญ่ประมาณ 80 % เป็นบริษัทสัญชาติไทยแลประมาณสิบกว่า % ที่เป็นบริษัทที่มีต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และที่เหลือก็เป็นลักษณะบริษัทร่วมทุนระหว่างไทยกับต่างชาติ เมื่อดูเบี้ยประกันภัยรับรวมของปี 2556 จะเห็นได้ว่า บริษัทที่ทำเบี้ยรับรวมสูงสุดคือ บริษัท วิริยะประกันภัย ซึ่งทำเบี้ยรับรวมได้ถึง 33,983.11 ล้านบาท (MARKET SHARE = 16.74 %) ตามมาด้วยบริษัททิพยประกันภัย (TIP) เป็นอันดับ 2 ทำเบี้ยรวมได้ 23,617.95 ล้านบาท (MARKET SHARE = 11.63 %) ที่ 3 เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย (BKI) ทำเบี้ยรับรวมได้ 15,057.77 ล้านบาท (MARKET SHARE = 7.42 %) ทิ้งห่างอันดับที่ 4 บริษัท สินมั่นคง ประกันภัย (SMK) ทำเบี้ยรับได้ 8,862.72 ล้านบาท (MARKET SHARE = 4.37 %) ส่วนที่ 5 เป็นของบริษัท เมืองไทยประกันภัย (MTI) ที่ทำเบี้ยรับรวมแทบจะหายใจรดตันคออันดับ 4 ที่ 8,663.53 ล้านบาท (MARKET SHARE = 4.27 %) แต่ถ้าหักเอาเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่มีความเสี่ยงสูงที่สูด เพราะว่าเป็นภัยชนิดที่ถ้าบริหารจัดการไม่ดีโอกาสขาดทุนเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ทำให้บริษัทประกันภัยหลายๆ บริษัทไม่ค่อยเน้นที่จะขายประกันภัยชนิดนี้ บริษัท วิระยะประกันภัย จะไม่ติด TOP5 เนื่องจากในเบี้ยรับรวมเป็นประกันภัยรถยนต์ถึง 30,940 ล้านบาท บริษัทที่จะขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ก็คือ TIP ที่มีเบี้ยรับรวม 18,470 ล้านบาท ตามมาด้วย BKI เป็นอันดับ 2 โดยมีเบี้ยรับรวม 8,377 ล้านบาท อันดับ 3 เป็นของ MTI ที่ 4,407 ล้านบาท ส่วนอันดับ 4 และ 5 เป็นของบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นคือ บริษัทโตเกียวมารีนประกันภัยที่ 3,702 ล้านบาท และบริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ ที่ 3,671 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่ง 2 บริษัทหลังนี้ ส่วนใหญ่จะได้ลูกค้าเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย คงเป็นเพราะว่าสัญชาติเดียวกันคุยกันรู้เรื่อง และเชื่อถือกันมากกว่า รวมทั้งอาจจะทำประกันภัยกับบริษัทประกันภัยตามบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น
จากการที่เบี้ยประกันภัยรับรวมของประเทศไทยยังต่ำอยู่เมื่อเที่ยบกับหลายๆ ประเทศ ทำให้โอกาสเติบโตของเบี้ยรับในอนาคตยังมีอีกมาก นี่ยังไม่นับรวมโครงการขนาดใหญ่ในส่วนของเม็ดเงิน 2.40 ล้านบาทที่รัฐบาลชุดปัจจุบันตั้งใจจะทำ ไม่ว่าจะเป็นโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน และรถไฟฟ้าสายใหม่อีกหลายสาย โครงการรถไฟทางคู่ โครงการขยายทางหลวงชนบทเพื่อสนับสนุนการเกษตร และการท่องเที่ยว โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง โครงการพัฒนาโครงข่ายขนส่งทางน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งทางน้ำ ซึ่งโครงการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเป็นการลดต้นทุน LOGISTICS ของไทย ที่คิดเป็นเปอร์เซนต์ของต้นทุนการผลิตที่สูงมากเมื่อเที่ยบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งโครงการเหล่านี้น่าจะต้องประกันภัยทั้งในขั้นตอนที่ก่อสร้าง และเมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็คงต้องทำประกันภัยต่อเนื่องไปอีก โครงการ MEGA PROGECT นี้ จึงเป็นรายได้ก้อนมหึมาที่บริษัทประกันภัยในประเทศไทยจะได้แบ่งเค็กกัน โดยเฉพาะบริษัทประกันภัยที่ใหญ่ๆ ที่จัดอยู่ใน TOP 5 และบริษัทประกันภัยที่มีหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนที่มาก น่าจะยิ่งมีโอกาสได้รับส่วนแบ่ง SLICEของ CAKE ชิ้นนี้มากกว่ารายอื่นๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น