วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

WHA ปิดดีลฮุบ HEMRAJ เบ็ดเสร็จ


 

     
  

         WHA ปิดดีลฮุบ HEMRAJ เบ็ดเสร็จ


          
       

       
WHA ปิดดีลประวัติศาสตร์ ซื้อ HEMRAJ เดินหน้าเพิ่มทุน 468 ล้านหุ้น ขาย RO หุ้นละ 25-27 บ. พ่วงวอร์แรนต์ 3:1 พร้อมตั้งบริษัทย่อยซื้อหุ้น HEMRAJ ทำเทนเดอร์ 4.50 บ. ด้าน "สมยศ อนันตประยูร" ยันไม่เกิด Earning Dilution พร้อมได้ SCB ออกสินเชื่อ 3.55 หมื่นลบ. เป็นแหล่งเงินทุนอีก 80% มั่นใจจะต่อยอดการเป็นผู้นำทางด้านคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานระดับพรีเมี่ยม ด้านโบรกฯ มองจะหนุนผลประกอบการในอนาคตเพิ่มขึ้น 117% แตะ 1.28 หมื่นลบ. ให้เป้าหมาย 42 บ./หุ้น 

       
  เป็นอีกหนึ่งดีลประวัติศาสตร์ในวงการ คลังสินค้า และโรงงานอุตสาหกรรม ก่อนสิ้นปี 2557 หลังจากที่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) หรือ WHA ได้ สรุปผลการซื้อ เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ HEMRAJ ผ่านกระบวนการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท (Right Offering) ในจำนวนไม่เกิน 351 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ในขั้นต้น กำหนดช่วงราคาเสนอขายไว้ประมาณ 25-27 บาทต่อหุ้น และ ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Right Warrants) จำนวนไม่เกิน 117 ล้านหน่วย หวังต่อยอด สู่การเป็นผู้นำด้านคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานระดับพรีเมี่ยม
โดยวานนี้ราคาหุ้น WHA ปิดที่ระดับ 32.75 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือ -3.68% มูลค่าการซื้อขาย 24.76 ล้านบาท
HEMRAJ ปิดที่ระดับ 4.32 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 110.13 ล้านบาท 

*** ตั้งบ.ย่อยซื้อ HEMRAJ ทำเทนเดอร์ 4.50 บ

        นายสมยศ อนันตประยูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) หรือ WHA แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการ อนุมัติส่งหนังสือประกาศเจตนาในการจะเข้าถือหลักทรัพย์ของเหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) หรือ HEMRAJ เพื่อครอบงำกิจการโดย สมัครใจ โดยบริษัทจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ HEMRAJ โดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer) ในราคาหุ้นละ 4.50 บาท ภายใต้เงื่อนไขว่าบริษัทจะทำการยกเลิกคำเสนอซื้อหลักทรัพย์หากเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อแล้วมีผู้เสนอขายหุ้นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ HEMRAJ ทั้งนี้การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ แบบมีเงื่อนไขจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเงื่อนไขต่าง ๆ ต่อไปนี้ได้เกิดขึ้นครบถ้วนแล้ว
        (1) เงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้นเพื่อให้มีการเสนอขายหุ้นบริษัท เหมราชฯ ในราคาหุ้นละ 4.50 บาท โดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในการทำราคาเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจโดยบริษัทตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้นได้เกิดขึ้นครบถ้วนแล้ว
          (2) ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้บริษัทและ/หรือบริษัทย่อยเข้าซื้อ หุ้นของบริษัท เหมราชฯ ตามที่กำหนดในสัญญาซื้อขายหุ้น รวมถึงให้บริษัทดำเนินกระบวนการการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจโดยบริษัทและ/หรือบริษัทย่อย??
          (3) ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทมีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท (Right Offering) และบริษัทได้ดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นดังกล่าวเป็นผลสำเร็จ และได้ดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนชำระแล้ว ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวนประมาณ 8,800,000,000 บาท
        (4) บริษัทได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจากสถาบันการเงินในจำนวนเมื่อรวมกับจำนวนเงินที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท (Right Offering) เพียงพอสาหรับการซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทเหมราชฯ ในกระบวนการ การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจโดยบริษัท โดย ณ ปัจจุบัน บริษัทอยู่ในระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงินบางราย

*** เพิ่มทุน 468 ล้านหุ้น ขาย RO หุ้นละ 25-27 บ. พ่วงวอร์แรนต์ 3:1 

        พร้อมกันนี้ อนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 468,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จัดสรรดังนี้ ?
         (1) จำนวนไม่เกิน 351,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ตามสัดส่วนจานวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Right Offering) โดยคณะกรรมการมอบหมายให้คณะกรรมการบริหาร เป็นผู้กำหนดจำนวนหุ้น อัตราการจัดสรร และ ราคาเสนอขาย ซึ่งอยู่ในช่วงราคา 25 ถึง 27 บาทต่อหุ้น
      (2) จำนวนไม่เกิน 117,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่มีการจองซื้อ และชำระราคาค่าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ในสัดส่วย 3 หุ้นเพิ่มทุนต่อ 1 วอร์แรนต์ โดยวอร์แรนต์ดังกล่าวมีอายุ 5 ปี อัตราการใช้สิทธิ 1 ต่อ 1 ราคาใช้สิทธิ หุ้นละ 35 บาท??กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (XR) 06 ก.พ. 2558 วันประชุม 05 ก.พ. 2558 วันที่ไม่ได้รับสิทธิเข้าประชุม (XM) 08 ม.ค. 2558 

*** ยันไม่จัดสรรหุ้นให้รายใหม่ - ไม่เกิด Earning Dilution 

       นายแพทย์สมยศ กล่าวว่า หากพิจารณาจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering) รวมแล้วจะไม่เกิน 27% ของจำนวนหุ้นสามัญของบริษัทหลังการเพิ่มทุน เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิที่บริษัทจะได้รับเพิ่มเติมจากการเข้าถือหุ้นของบริษัทเหมราชฯ จะทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหมายความว่า การเพิ่มทุนดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิด Earning Dilution พร้อมกันนี้ บริษัทตั้งใจที่จะให้สิทธิการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวแก่ผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อไม่ให้มี Dilution จากการถือหุ้น โดยการจองซื้อหุ้นดังกล่าวบริษัทมั่นใจว่าจะมีส่วนลดขอราคาจองซื้อที่น่าสนใจ และจะไม่มีการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นรายใหม่แต่อย่างใด

*** มั่นใจ ได้หุ้น HEMRAJ มากกว่า 50% - SCB หนุนสินเชื่อ 3.55 หมื่นลบ. เป็นแหล่งเงินทุน 

       นายแพทย์สมยศ กล่าวเพิ่มอีกว่า บริษัทจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าวก็ต่อเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้นเกิดขึ้นครบถ้วนแล้ว และในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2558 ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 บริษัทจะเสนอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติให้บริษัทและ/หรือบริษัทย่อยเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เหมราชฯ รวมถึงอนุมัติให้บริษัทออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท และเพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท และอนุมัติให้บริษัทออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อและชำระราคาค่าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ตามรายละเอียดที่กล่าวมา ??เมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายหุ้นที่กล่าวมาข้างต้นบรรลุผลสำเร็จครบถ้วนแล้ว บริษัทจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจภายใต้เงื่อนไขว่า บริษัทจะยกเลิกคำเสนอซื้อหลักทรัพย์หากปรากฏว่า เมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อแล้วมีผู้เสนอขายหุ้นจำนวนน้อยกว่า 50% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท เหมราชฯ ?
       “ บริษัทประมาณการไว้ว่า บริษัทจะยื่นคำเสนอซื้อได้ในวันที่ 5 มีนาคม 2558 และจะรับซื้อหลักทรัพย์เป็นเวลาทั้งสิ้น 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2558 ถึงวันที่ 10 เมษายน 2558 ซึ่งคาดว่าจะได้หุ้นของบริษัท เหมราชฯ มากกว่า 50% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด เนื่องจากบริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นดังกล่าวกับกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท เหมราชฯเรียบร้อยแล้ว และจากการพูดคุยและเจรจากับผู้ถือหุ้นรายอื่นทั้งในและต่างประเทศ ผู้ถือหุ้นดังกล่าวมีความสนใจที่จะมาขายหุ้นในราคาประมาณนี้เช่นกัน”
      สำหรับแหล่งเงินทุนในการทำคำเสนอซื้อครั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้สนับสนุนสินเชื่อเป็นวงเงินกว่า 35,500 ล้านบาทหรือคิดเป็นประมาณ 80% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท เหมราชฯ ซึ่งเป็นส่วนที่เหลือบริษัทจะเพิ่มทุนด้วยการทำ Right Offering จำนวนประมาณ 8,800 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นเดิมและประสบความสำเร็จด้วยดี อีกทั้งกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทก็ได้เตรียมลงทุนตามสัดส่วนที่ถืออยู่ และพร้อมที่จะเพิ่มทุนเกินสัดส่วนเพื่อสนับสนุนการทำ Right Offering ครั้งนี้ โดยเมื่อรวมเงินสนับสนุนจากธนาคารและเงินที่ได้จากการทำ Right Offering แล้ว จะเพียงพอต่อการซื้อหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท เหมราชฯ

*** มั่นใจดีลนี้ช่วยต่อยอดสู่การเป็นผู้นำด้านคลังสินค้า

        นางจรีพร อนันตประยูร กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) กล่าวเสริมว่า การเข้าซื้อหุ้นของบริษัทเหมราชฯ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเติบโตธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถต่อยอดการเป็นผู้นำทางด้านคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานระดับพรีเมี่ยม แบบ Built-to-Suit โดยการขยายธุรกิจในแนวดิ่ง (Vertical upward integration) ผ่านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเพื่อให้บริการแก่บริษัทข้ามชาติที่ครบวงจร พร้อมกับการเตรียมตัวขยายธุรกิจในการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนนิคมอุตสาหกรรม ในภูมิภาคนี้ หรือการลงทุนในคลังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้า ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ
      บริษัท เหมราชฯ ถือเป็นบริษัทที่มีรายได้ประจำที่มั่นคง เนื่องจากมีสัดส่วนกว่าครึ่งมาจากรายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภคให้แก่ลูกค้าในนิคม รวมทั้งมีการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า กับพันธมิตรทางธุรกิจชั้นนำ เช่น กลุ่ม Glow Energy และกลุ่ม Gulf และเมื่อรวมถึงรายได้จากธุรกิจให้เช่าคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงานซึ่งจะขยายตัวตามการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม การเข้าถือหุ้นครั้งนี้ก็จะเป็นการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่บริษัทได้เป็นอย่างดีต่อไป

*** โบรกฯ เชื่อจะช่วยหนุนผลประกอบการโต 117% ให้เป้า 42 บ./หุ้น 

        บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า WHA จะได้ประโยชน์จากการได้ที่ดินในการขยายธุรกิจในอนาคต (Built-to-suit ที่มีทางเลือกในการซื้อคลัง, การเพิ่มขนาดของ REIT และอื่นๆ) รวมถึงการขยายฐานลูกค้าและบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการทำโซล่ารูฟ, โครงการ WHART และเงินปันผลจากธุรกิจของ HEMRAJ จะช่วยให้รายได้ของ WHA มีความสมดุลมากขึ้น (HEMRAJ มีรายได้จากการขายไฟฟ้า) และเมื่อรวมรายได้จาก HEMRAJ จาก 7-8 พันล้านบาทต่อปี สำหรับปี 2558-59F และรายได้ของ WHA ราว 5.8 พันล้านบาทจะทำให้ผลประกอบการในอนาคตเพิ่มขึ้น 117% เป็น 1.28 หมื่นล้านบาท แต่ยังคงอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 38% และเราคาดว่าค่าใช้จ่ายในการขายต่อยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ในปี 2558F (จากเดิม 2.8%) เนื่องจากผลของการควบรวมและเราได้ปรับผลประกอบการในปี 58F ขึ้น 52% เป็น 2.3 พันล้านบาท
         ทั้งนี้ใช้ผลตอบแทนไร้ความเสี่ยงและส่วนชดเชยความเสี่ยงของตลาด 2.5% และ 9.2% ตามลำดับ รวมถึงคาด CAPEX ที่เพิ่มขึ้น และ WACC ที่ 7% โดยมี Beta 1.5 เท่า และอัตราการเติบโตงวดสุดท้ายที่ 2% โดยมูลค่าที่เหมาะสมมาจาก DCF 40.5 บาท และ NAV ของเงินลงทุนอีก 1.5 บาท รวมเป็น 42 บาท มีความเสี่ยงสำคัญคือ 1) ความเร็วในการก่อสร้างคลังสินค้า 2) ความสามารถในการขายทรัพย์สินเข้ากองทุน 

 

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง .. -25 ธันวาคม 2557

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง ..
------------------------------------------

25 ธันวาคม 2557




ชื่อ:  กาแฟ.png
ครั้ง: 11273
ขนาด:  833.9 กิโลไบต์




Oil Corner


ผลการสำรวจราคาน้ำมันในอนาคตพบว่า นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันในระดับต่ำจะทำให้ปริมาณการผลิต Shale Gas ของสหรัฐลดลงจนทำให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นได้ในครึ่งปีหลังของปีหน้า โดย Goldman Sach ประเมินว่าราคาน้ำมันจะฟื้นขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ผู้ผลิตน้ำมันคาดว่า ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่นักลงทุนในตลาดซื้อขายล่วงหน้ากลับมองว่า ราคาน้ำมันจะฟื้นตัวเพียงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเท่านั้น



General News


• S&P’s อยู่ระหว่างพิจารณาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัสเซียลงสู่ระดับที่ไม่ น่าลงทุน หรือ “Junk” จากแนวโน้มเศรษฐกิจรัสเซียที่ใกล้เข้าสู่ภาวะถดถอยและค่าเงินรูเบิลที่อ่อน ค่าลงอย่างรุนแรง จนทำให้มีความเสี่ยงที่หนี้เสียจะเพิ่มขึ้นในระบบการเงินของรัสเซีย


• ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐในสัปดาห์ก่อนลดลง 9,000 คน เหลือ 280,000 คน ซึ่งปรับลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 290,000 คน บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดแรงงานในสหรัฐ


• สถาบันสังคมศาสตร์ของจีน(CASS) คาดว่า ธนาคารกลางจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปี 2558 เพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับ 7% ทั้งนี้ CASS คาดว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะประกอบไปด้วย การเพิ่มปริมาณเงิน M2 การเพิ่มวงเงินการปล่อยกู้เงินหยวน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR)


• ธนาคารกลางเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพ.ย.อยู่ที่ 2.6% เป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากความกังวลต่อภาวะเงินฝืดและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การคาดการณ์เงินเฟ้อที่ต่ำอาจส่งผลให้ผู้บริโภคเลื่อนการจับจ่ายใช้สอยออกไป เนื่องจากราคาสินค้าและบริการอาจปรับลดลงตามเงินเฟ้อ และอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืดเหมือนญี่ปุ่น


• ก.การคลัง เปิดเผยว่า รายได้ของรัฐบาลในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2558 อยู่ที่ 312,291 ล้านบาท ลดลง 6.1% จากปีก่อน จากรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลง และอุปสงค์รถยนต์ที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่การเบิกจ่ายใน 2 เดือนแรกอยู่ที่ 573,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.5%จากปีก่อน จากความพยายามเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ


• นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน คาดว่า ราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีก 6 เดือน หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังลดลงต่อเนื่องและเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ขณะที่อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานกังวลว่า เป้าหมายการใช้เอทานอลที่ 9 ล้านลิตรต่อวันในปี 2573 จะไม่เป็นไปตามเป้าหมายเนื่องจากราคาน้ำมันที่ลดลงทำให้การใช้น้ำมันในกลุ่ม แก๊สโซฮอลลดลง


• ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.อยู่ที่ 89.7 เพิ่มขึ้นจาก 87.5 ในเดือนก่อน จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิคส์ กลุ่มแฟชั่น เป็นต้น 



Equity Market


• SET Index ปิดที่ 1,525.06 จุด ลดลง 6.11 จุด (-0.40%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 41,059.09 ล้านบาท ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มสื่อสารจากความคาดหวังในการเปิดประมูล 4G ในช่วงกลางปีหน้า 



สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม
กลุ่มนักลงทุน ล้านบาท


นักลงทุนสถาบัน +278.87
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ +507.72
นักลงทุนต่างชาติ +118.26
นักลงทุนทั่วไป -904.85


Fixed Income Market


• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลง +0.00% ถึง +0.03% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 45,373.70 ล้านบาท สำหรับวันนี้ไม่มีการประมูล 
--------------------------------------------------

คัดหุ้นข้ามปี ช้อน บจ.พื้นฐานดี-พี/อีต่ำ-ฟรีโฟลต์สูง

 คัดหุ้นข้ามปี ช้อน บจ.พื้นฐานดี-พี/อีต่ำ-ฟรีโฟลต์สูง

อีกเพียง 1 สัปดาห์จะล่วงเข้าสู่ปีใหม่ 2558 แล้ว ภาวะตลาดหุ้นไทยสัปดาห์สุดท้ายของปียังมีให้ลุ้นว่าจะยืนนิ่งปิดตลาดในแดนบวกถึงวันสิ้นปีหรือไม่

หลังจาก 16 วันที่ผ่านมา (1-16 ธ.ค. 2557) ดัชนีตกฮวบไปถึง 132.08 จุด หรือคิดเป็น 8.29% ในภาวะฝุ่นตลบ มีหุ้นหลายตัวราคาหลุดปัจจัยพื้นฐาน เพราะนักลงทุนตื่นกลัว แต่ถ้าใจนิ่งๆ จะมองเห็น "ของดี" ที่แฝงตัวอยู่


10 หุ้นเด่น ราคาถูก-ฟรีโฟลต์สูง

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า ยังมีหุ้นที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (PER) ต่ำกว่า 17.55 เท่า ซึ่งเป็น PER ของตลาดหุ้นไทยปีนี้ หลายตัว และเมื่อร่อนตะแกรงคัดหุ้นที่ราคาปิดต่อกำไรสุทธิ (P/E) ต่ำ อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV RATIO) น้อย อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูง อัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS Growth) ดี แถมยังมีการกระจายของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) มากกว่า 30%

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส พบว่า มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวถึง 30 แห่งโดย 10 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA), บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP), บมจ.ศุภาลัย (SPALI), บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC), ธนาคารกรุงไทย (KTB), ธนาคารกรุงเทพ (BBL), บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP), บมจ.ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA), บมจ.ปตท. (PTT) และ บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) แล้วในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (19 พ.ย.-19 ธ.ค) มีราคาปรับตัวลดลง -6.37%, -5.30%, -1.78%, -5.38%, -1.28%, -3.00%, -19.59%, -7.52%, -14.51% และ -7.10% ตามลำดับ


วางกลยุทธ์ช้อนหุ้น 3 กลุ่ม

"ประกิต สิริวัฒน์เกตุ" ผู้จัดการกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส แนะนำว่า การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้าให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นเป็น 50% ของเงินลงทุนทั้งหมด จากเดิมให้ไว้ที่ 30% โดยแนะเลือกหุ้นตามกลยุทธ์รายตัวใน 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

กลุ่มแรก เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง โดยกลุ่มที่ได้อานิสงส์ชัดเจน ได้แก่ กลุ่มขนส่งทางอากาศ และขนส่งทางเรือ อาทิ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV), บมจ.อาร์ ซี แอล (RCL) และ บมจ.ทิปโก้ แอสฟัลท์ (TASCO)

กลุ่มสอง หุ้นที่มีสถิติให้ผลตอบแทนชนะตลาดในช่วงเดือน ม.ค. ซึ่งตามข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่ามีหุ้นหลายตัวที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกด้วยความน่าจะเป็นเกิน 70% อาทิ บมจ.เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI), บมจ.จีเอฟพีที (GFPT), ธนาคารกรุงไทย (KTB), บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.63%, 5.31%, 3.18% และ 2.81% ตามลำดับ

กลุ่มสาม หุ้นปันผลเด่น โดยเกณฑ์ในการคัดเลือกจะให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีDividend Yield สูงกว่า 4% ในงวดปี 2558 และมีราคาหุ้นต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม (Fair Value)


จุดต่ำสุดปีนี้ผ่านไปแล้ว

ด้าน "ยศพณ แสงนิล" รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และดัชนีไม่น่าจะลดลงรุนแรง หรือต่ำกว่าระดับ 1,500 จุด อีกแล้วจนกว่าจะสิ้นปี หลังจากปัจจัยลบต่าง ๆ ได้คลี่คลายลง

"ปัจจุบัน P/E ของตลาดหุ้นไทยเทียบกับอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2558 อยู่ที่ 14 เท่า ดังนั้นหุ้นไทยตอนนี้จึงไม่แพงเลย และมีโอกาสช่วงที่เหลือของปีนี้จะเห็นดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1,550 จุด"

ตลท.ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนราว 12.6% โดยกลุ่มหุ้นที่มีผลตอบแทนเด่นที่สุด 5 อันดับในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การแพทย์ ขนส่ง อิเล็กทรอนิกส์ หลักทรัพย์ และธนาคาร มีผลตอบแทนสูงสุดถึง 49.7%, 35.6%, 32.9%, 29.8% และ 27.2% ตามลำดับ

ส่วนกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบ ได้แก่ ปิโตรเคมีลดลง -26.7% และพลังงาน -8%

แม้ตอนนี้ภาวะตลาดหุ้นจะกลับมาดีขึ้น แต่นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และจัดพอร์ตให้เหมาะสม โดยนักลงทุนระยะยาวจะต้องศึกษาพื้นฐานหุ้นให้ดี ส่วนระยะสั้นต้องระวังแรงเก็งกำไรที่อาจทำให้ "เจ็บตัว" โดยไม่ทันตั้งตัวด้วย


ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง .. 26 ธันวาคม 2557

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง ..
------------------------------------------

26 ธันวาคม 2557




ชื่อ:  001.PNG
ครั้ง: 9966
ขนาด:  211.2 กิโลไบต์




Guru Corner


ทุกปีในวันคริสต์มาส คุณปู่ซานตาครอส (วอร์เรน บัฟเฟตต์/ Warren Edward Buffett) จะให้ของขวัญลูกๆหลานๆ เป็นหุ้นในบริษัทต่างๆ ที่วอร์เรนชอบ เพราะเขามองว่าเมื่อได้รับหุ้นแล้ว เด็กๆ ก็จะเริ่มรู้จักการลงทุน สนใจติดตามราคาหุ้น และนำไปสู่ความสงสัยใคร่รู้ในเหตุผลของการขึ้นลงของราคา การแสวงหาคำตอบต่อข้อสงสัยเหล่านั้นก็เป็นเส้นทางของการสร้างความรู้ด้านการ เงินและการลงทุนเป็นอย่างดี


General News


• แอนตัน ไซลัวนอฟ รัฐมนตรีกระทรวงคลังรัสเซีย คาดว่าในปี 2558 รัสเซียอาจขาดดุลมากกว่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจนเกือบจะเข้าสู่ภาวะถด ถอย โดยธนาคารกลางรัสเซียประเมินว่า GDP อาจจะหดตัวลงอย่างน้อย 4.5% ในปีหน้า หากราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล


• เจ้าหน้าที่ทางการทหารระดับสูงของสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯเตรียมส่งกองกำลังเสริมเพื่อสนับสนุนแก่อิรัก (ประมาณ 1,800 นาย) ในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย IS ที่กำลังคุกคามสำนักงานรัฐบาลในกรุงแบกแดด


• กระทรวงพาณิชย์จีน เปิดเผยว่า การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของบริษัทนอกภาคการเงินปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.9% แตะ 8.98 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้


• จีน ประกาศจะเพิ่มการสนับสนุนด้านการเงินแก่บริษัทจดทะเบียนในจีน และการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศให้สามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้


• รายงานการประชุมของ BoJ แสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่กรรมการนโยบายของ BoJ ส่วนหนึ่งยังสนับสนุนเรื่องการรักษาวินัยทางการคลัง แม้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวยังคงอยู่ในระดับต่ำจากการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล ญี่ปุ่นจำนวนมากเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา


• ฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) เรียกร้องบรรดาผู้บริหารของบริษัทต่างๆให้ปรับขึ้นเงินเดือนให้แก่พนักงาน ในขณะที่ภาคธุรกิจกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาค่าแรงประจำปีในช่วงต้นปี หน้า


• ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้กำหนดมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะ 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ต.ค.-ธ.ค.57) โดยให้แต่ละกระทรวงเร่งรัดการทำสัญญาจ้างและเบิกจ่ายเงินงบลงทุนให้แล้ว เสร็จภายในเดือนธันวาคม 2557 เพื่อเร่งการสร้างงานและกระจายรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย พร้อมคาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ของปีนี้จะเติบโตได้ราว 3% ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐ รวมทั้งการลงทุนของภาคเอกชนที่จะเข้ามาช่วยหนุน พร้อมมองว่าจะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 1/58 ที่รับประกันว่าจะเติบโตได้ถึง 4% ต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เนื่องจากจะมีการโหมลงทุนโครงการต่างๆ ในช่วงต้นปี


• ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจ "พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558" ว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวและการจับจ่ายซื้อสินค้าประมาณ 117,472 ล้านบาท


• สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รายงาน ยอดการผลิตรถยนต์เดือน พ.ย.57 ว่ามีจำนวน 158,038 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 13.5 และลดงร้อยละ 1.1 จากเดือน ต.ค. 57 ทำให้การผลิตในช่วง 11 เดือนแรกปี 2557 มียอดผลิตรวม 1,726,338 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 24.9


• BOI ได้พิจารณาอนุมัติส่งเสริมการลงทุนรวมอีก 13 โครงการ รวมเงินลงทุนทั้งสิ้น 21,153.7ล้านบาท โดยยอดคำขอการลงทุนในปีนี้มีมูลค่าการลงทุน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าตั้งเป้าไว้ 8 แสนล้านบาท และมีการอนุมัติโครงการที่ขอส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว 1,569 โครงการ มีมูลค่าการลงทุน 7 แสนกว่าล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากคำขอปีนี้ถือว่ามีไม่น้อยกว่า 60 % ที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มพลังงาน ชิ้นส่วนอิเลกทรอนิกส์


Equity Market


• SET Index ปิดที่ 1,504.89 จุด ลดลง 20.17 จุด (-1.32%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 33,026.36 ล้านบาท ดัชนีฯปรับตัวลดลงจากแรงกดดันของแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหลัก และปริมาณการซื้อค่อนข้างน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของช่วงเทศกาลปลายปีที่ตลาดหุ้นหลัก หลายๆประเทศปิดทำการ


สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม
กลุ่มนักลงทุน ล้านบาท


นักลงทุนสถาบัน -1,140.36
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ -1,096.76
นักลงทุนต่างชาติ +322.32
นักลงทุนทั่วไป +1,914.81


Fixed Income Market


• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลง +0.00% ถึง +0.01% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 31,851.70 ล้านบาท สำหรับวันนี้มีการประมูล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย อายุ 3 ปี มูลค่า 15,000 ล้านบาท
--------------------------------------------------
หากมีจุดหมายอย่ากลัวหลงทาง

ใครไม่ฉลาด คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2557

ใครไม่ฉลาด

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2557 
มวลมหาประชาชนผู้มีการศึกษาคงภูมิใจเป็นล้นพ้น ที่สำนักพิมพ์ Routledge ใช้ภาพระบายความเกลียดทักษิณ “หน้า...หมา” ขึ้นปกตำรา Handbook of Southeast Asian Democratization แหม...ช่างยกย่องวีรกรรมของคนไทยเป็นแบบอย่างการพัฒนาประชาธิปไตยในภูมิภาค ไม่เหมือนจักรพรรดินิยมโอบามา บังอาจหาว่า คสช.ไม่ฉลาด
กระทรวงการต่างประเทศเก่งจังนะครับ รีบออกมาวนด้วยสำนวนการทูต ใครว่าคนอื่นไม่ฉลาดคนนั้นก็ไม่ฉลาด อ้างอีกต่างหากว่าคนเกินครึ่งโลกสนับสนุนรัฐประหาร โห...แค่จีนก็พันกว่าล้าน
ในฐานะคนไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ขอเป่าก้น คสช.ว่าเลือกตั้งต้นปี 2559 ยังเร็วไปด้วยซ้ำ น่าจะลากยาวไปถึงปี 2560 หรือ 2561 เพราะไม่ใช่แค่ปัญหาความมั่นคงสำคัญของชาติอย่างที่ฝรั่งอ้าง แต่ผมมองไม่เห็นทางที่สังคมไทยจะกลับสู่การเมืองปกติได้
ปี 2557 ที่กำลังจะผ่านไป จะขนานนามอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น ปีที่ไร้เหตุผล ไร้สติ ตรรกะวิบัติ รัฐบาลยุบสภาแล้วสุมหัวกันทั้งม็อบ ทั้งองค์กรอิสระ ไม่ยอมให้เลือกตั้งใหม่กระทั่งเกิดรัฐประหาร ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งขัดรัฐธรรมนูญ เพราะมีคนขัดขวางการเลือกตั้งจนไม่สามารถลงคะแนนวันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้นายกฯ พ้นตำแหน่งเพราะย้ายเลขา สมช.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งที่ศาลปกครองวินิจฉัยคำสั่งย้ายข้าราชการมามากมาย ไม่เคยมีรัฐบาลไหนถูกถอดถอนอย่างนี้
ไม่ปฏิเสธหรอกว่าอำนาจการเมืองเสื่อม แต่อำนาจทุกอย่างเสื่อมไปด้วย ประชาชนไม่เชื่อถือว่ายังเหลือความยุติธรรม ไม่ใช่แค่รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ แต่ทั้งรัฐกลายเป็น failed stateจนต้องปกครองด้วยรัฐประหารกฎอัยการศึก
นี่คือประเทศที่แตกสลายแล้ว รัฐประหารกฎอัยการศึกไปเมื่อไหร่ ก็อาจจะพังได้เมื่อนั้น แม้ในทางกลับกันถ้าถูลู่ถูกังกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ ก็อาจพังยิ่งกว่า แต่จะได้มีบทเรียนให้เข็ดกันเสียที ว่าทีหลังอย่าทำ
คนส่วนหนึ่งเพ้อหวังว่าสภาปฏิรูป การยกร่างรัฐธรรมนูญ จะแก้ปัญหาได้ แต่ล่าสุดฟังแล้วเป็นไง นายกฯ ไม่มาจากเลือกตั้ง ส.ว. 200 คนจากการสรรหาคอยควบคุมไม่ให้กระดิกกระเดี้ยอีกชั้น โอเค มันคงไม่ซ้ำรอยปี 35 เพราะม็อบมือถือที่เคยเรียกร้องให้นายกฯ มาจากเลือกตั้งตอนหลังก็กลืนน้ำลายเป่านกหวีดเสียส่วนใหญ่ แต่จะแก้ปัญหาได้หรือยิ่งกลายเป็นกดขี่อำนาจเลือกตั้งของประชาชน ก็ลงประชามติสิ จะได้รู้กัน ถ้าคว่ำก่อนก็ไม่ต้องนองเลือดภายหลัง
ไม่มีใครคิดสูตรวิเศษให้ประเทศนี้ได้ ตราบใดที่ไม่ยอมรับหลักการประชาธิปไตยปกติ หลักการง่ายๆ ยอมรับเสียงข้างมาก ให้เสรีภาพเสียงข้างน้อย และเอาชนะกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ดันทุรังด้วยกำลังหรืออำนาจ ไม่ว่าอำนาจศาล อำนาจปืน อำนาจต่อรองทางชนชั้น เมื่อไม่เอาตรรกะเหตุผลสังคมก็ล่มสลายไม่สามารถอยู่ร่วมกัน
การใช้กำลังยุติความขัดแย้ง แม้ดูเหมือนได้ผลดีในระยะแรก แต่ก็เหมือนกลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรก ตอนแรกๆ ยังไม่รู้ตัวหรอกครับ นานไปสิจะเหมือนวัวพันหลัก แล้วแกะไม่ออก เลือกตั้งก็ยาก ไม่เลือกตั้งก็ลำบาก ถึงตอนนี้อย่าบอกเลยว่าใครโง่ใครฉลาด เพราะไม่ฉลาดตั้งแต่ต้นแล้วจะมาฉลาดภายหลังทำยังไงก็หนีไม่พ้น ต้องลากไปจนเห็นดำเห็นแดง

คาเฟอีน คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2557

คาเฟอีน

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2557  

*ดัชนีหุ้นไทยวานนี้รูดไปกว่า 20 จุด แต่ก็ยังดีที่ไม่หลุด 1,500 จุดซึ่งเป็นแนวรับทั้งทางด้านจิตวิทยา และทางเทคนิค ส่วนวันนี้ ก็คงแกว่งตัวไปแบบนี้แหละ เพราะแรงซื้อไม่มีแล้ว ต่างชาติก็ไม่อยู่ กองทุนก็ทิ้งของออกมา แต่ก็ยังต้องจับตา วินโดว์เดรสซิ่งด้วย เพราะเหลืออีก 3 วัน (ทำการ) ก่อนสิ้นปี 2557
*มีข้อน่าสังเกตว่ารายย่อย หรือนักลงทุนทั่วไป จะมีแรงซื้อเข้ามาค่อนข้างมากในวันที่ดัชนีปิดลบ นั่นแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนกลุ่มนี้เริ่มมีจำนวนมากขึ้นที่เข้ามาช้อปหุ้นในช่วงขาลง คือ หากฝรั่ง หรือกองทุนทิ้งออกมา ก็กระโดดเข้ารับทันที แต่ขอโทษนะ กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้รับสะเปะสะปะนะ รายย่อยไทยนี้...ทำต่างชาติสะอื้นมาแล้ว เหอ เหอ เหอ
*หุ้นขนาดใหญ่หายหมด เหมือนนัดกันล่วงหน้าเลย ทั้งกลุ่มธนาคาร สื่อสาร ไม่รวมกลุ่มพลังงานที่ 3 วันดี 4 วันไข้ เพราะราคาในตลาดโลกยังแกว่งเป็นจิงโจ้โล้สำเภา ทำให้ กลุ่ม PTT PTTEP และ PTTGC ราคาออกมาดูแล้วเวียนหัวมาก จึงมีคำแนะนำว่า ต้องเล่นสั้นๆ แล้วออกของให้เร็ว ในวันที่ดีดตัว ยกเว้นแต่ทำตัวเป็นนักลงทุน VI ซื้อเก็บแช่ ดองเอาไว้ในพอร์ตนั่นแหละ เพราะถึงอย่างไร ราคาน้ำมันในตลาดโลกมันจะต้องกลับไปที่ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลอีกแน่ๆ แต่ไม่รู้ตอนไหนนะ 5555...
*หวยออนไลน์ ยืดเป็นหนังสติ๊กอีก ก็อย่างที่เคยบอกไว้แล้วเรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะผลประโยชน์มันเยอะ หากรอรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็เชื่อเหอะว่าก็ยังเกิดยาก เพราะนักการเมืองมีเอี่ยวกับ “หวยใต้ดิน” อยู่หลายคน ส่วนรัฐบาลที่มาจาก “คนดี” ชื่อก็บอกว่าคนดี!! ก็เลยไม่อยากจะทำอะไรที่คนดีเขาไม่ทำกัน ไม่อย่างนั้นจะถูกมองว่าเป็นคนไม่ดี ปัญหาของหวยออนไลน์ก็ยังคงเป็นปัญหาต่อไป นี่ยังไม่พูดถึง 2 ตัว 3 ตัวนะ รวมถึงรูปแบบการพนันประเภทอื่นๆ เวรกรรมประเทศไทย
*ดัชนีหุ้นไทยปีนี้จากเดิมลุ้นว่าจะยืนเหนือ 1,600 จุดได้หรือไม่ ต้องเปลี่ยนมาเป็นจะปิดมากกว่า 1,500 จุดได้หรือไม่ซะแล้ว ส่วนแนวโน้มปีหน้า เท่าที่เก็บข้อมูล นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุน ต่างยังเชื่อว่า ดัชนีมีโอกาสพุ่งไปถึง 1,700-1,750 จุดได้ หรือเพิ่มขึ้นจากปีนี้ก็ราวๆ 12-13% และคาดกันอีกว่าต่างชาติจะกลับเข้ามา แต่ก็ต้องลุ้นว่า ผลประกอบการของ บจ.จะออกมาดีด้วย ขณะที่ EPS Growth จะอยู่ที่ 15-17%
*หุ้นบมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป หรือ EPG เทรดวันแรก เปิดและปิดเหนือจองได้แบบชิลๆ พอมาวันที่สอง ราคาขยับขึ้นไปอีก 9% แถมวิ่งสวนตลาดที่ติดลบ 20 จุดซะด้วย พื้นฐานโดยทั่วไปถือว่าดี มีกำไรต่อเนื่อง ส่วนพี/อี ล่าสุด อยู่ที่ 36 เท่า
*วันนี้ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์(LHSC) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน ตลท. ในหมวดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง จะเข้าเทรดวันแรก ไอพีโอ หน่วยละ 10.20 บาท ต้องมาลุ้นว่าจะเหนือจองได้หรือไม่ แต่ก็อย่างว่าล่ะ ซื้อกองทุนพวกนี้ เหมาะต่อการซื้อถือยาวๆๆ  แล้วรอรับปันผล เขามีนโยบายจ่ายไม่น้อยกว่าปีละ 2 ครั้ง และไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิ

AEONTSกำไรลดวูบ12%


AEONTSกำไรลดวูบ12%

กองทุนรวม ประกัน วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2557 
AEONTS กำไรไตรมาส 3/57 ที่ 568 ล้านบาท ลดลง 12% เผยสินเชื่อไตรมาสนี้เติบโตได้น้อยจากผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เชื่อไตรมาส จะฟื้นตัวได้หลังเข้าHigh Season ส่วนปีหน้าหากเศรษฐกิจดีขึ้นสินเชื่อจะกลับมาเติบโตสูง พร้อมปรับราคาเป้าหมายปี 58 ที่ 133 บาท และ ยังคงแนะนำซื้อ
นายธนภัทร ฉัตรเสถียร นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า AEONTS ประกาศกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3/57 (20 ส.ค.-20 พ.ย.) ที่ 568 ล้านบาท ลดลง 16% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 12% จากปีก่อนหน้า โดยในไตรมาสก่อนมีรายการสำคัญ คือ การปรับนโยบายสำรองเป็น Collective Approach ทำให้ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญเพิ่มขึ้น 395 ล้านบาท
ในอีกด้านมีการขาย NPL เป็นจำนวนมากทำให้บันทึกรายได้จากการขายสูงถึง 479 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาสนี้ทั้งสองรายการกลับมาอยู่ในระดับปกติทำให้สุทธิแล้วกำไรจึงลดลง ในแง่ของผลการดำเนินงานปกติยังไม่กระเตื้อง โดยสินเชื่อเติบโตจากไตรมาสก่อน 1% ทำให้รวม 9 เดือนสินเชื่อโตเพียง 6.7% จากสิ้นปี 2556 ชะลอลงชัดเจนจากปีก่อนที่สินเชื่อทั้งปีเติบโตกว่า 21%
อย่างไรก็ตาม เป็นผลจากการที่ธุรกิจของบริษัทยังไม่เข้าสู่ช่วง High Season อย่างเต็มตัว โดยยอดใช้จ่ายผ่านบัตรจะเข้าช่วง High Season ในเดือนธ.ค. และจากสภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเปราะบางทำให้ประชาชนระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย
ด้าน Spread ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 22.75% ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิดีขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 5% จากปีก่อนหน้า และ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานยังทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน สำหรับ NPL ในไตรมาสนี้มีแนวโน้มทรงตัวที่ 3.29% โดยมองว่า Credit Cycle ของบริษัทได้ผ่านช่วงที่แย่ที่สุดไปแล้ว และแนวโน้ม NPL จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ ในไตรมาสหน้าจะเข้าสู่ High Season ของธุรกิจ เนื่องจากเป็นช่วงที่ยอดใช้จ่ายของประชาชนสูงที่สุด โดยมองว่าจะเห็นการฟื้นตัวของสินเชื่อ และกำไรได้ ซึ่งอาจไม่ถึงเป้าประมาณการสำหรับทั้งปีที่คาดสินเชื่อจะเติบโต 12% โดย 9 เดือนที่ผ่านมาโตเพียง 6.7% จากสิ้นปี 2556 และกำไรที่คาดไว้ที่ 2,517 ล้านบาท จากกำไรงวด 9 เดือนคิดเป็นเพียง 72% ทำให้มีโอกาสที่จะปรับลดประมาณการลงอีก
แต่หากมองข้ามไปถึงปีหน้าเชื่อว่าปัจจัยหนุนต่างๆ จะเริ่มกลับมา โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าปีนี้จะช่วยหนุนการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนได้ ซึ่งในระยะยาวเชื่อว่าอีกปัจจัยที่จะผลักดันผลประกอบการจะมาจากธุรกิจในกัมพูชาที่เชื่อว่าหากสามารถดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตได้เต็มตัวจะเริ่มเติบโตแรง
ทั้งนี้ ได้ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 58 ที่ 133 บาท อิง Justified PER ที่ 11 เท่า โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายกันที่ระดับไม่แพงเทียบกำไรที่คาดปีหน้าคิดเป็น Forward PER เพียง 9.4 เท่าจึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” ซึ่งคาดว่าทั้งปีบริษัทจะจ่ายปันผลในครึ่งปีหลังอีก 1.9 บาท โดยทำให้ทั้งปี ผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ 3-4% และยังคงแนะนำ “ซื้อ”

‘KTB’ไร้สำรองพิเศษ กำไรขยับอยู่อันดับ3 สินเชื่อปี 58 โต 6% โบรกฯอัพราคา 29 บ.

‘KTB’ไร้สำรองพิเศษ
กำไรขยับอยู่อันดับ3
สินเชื่อปี 58 โต 6% โบรกฯอัพราคา 29 บ.

ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2557 
ผู้เข้าชม : 9 คน 


“วรภัค” ผู้บริหารแบงก์กรุงไทย หรือ KTB คาดกำไรสุทธิปีนี้จะออกมาดี และอาจขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ของกลุ่มธนาคาร ส่วนปีหน้า สินเชื่อเติบโตได้มากกว่า 6% เล็งรุกรายย่อย-เอสเอ็มอีมากขึ้น ยืนยันไร้ตั้งสำรองพิเศษ คุมเอ็นพีแอลได้ โชว์กระบวนการปรับการทำงานภายในคืบหน้าไปมาก ด้าน บล.เอเซีย พลัส แนะ KTB หุ้นเด่นสุดของกลุ่ม ปีหน้ากำไรพุ่ง 12% ขยับราคาเป็น 29.16 บาท

นาย วรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ในปี 2558 ธนาคารตั้งเป้าหมายให้สินเชื่อเติบโต 1.5 เท่าของจีดีพี ที่ประเมินว่าจะขยายตัวได้ 3.5-4.5% และทำให้คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตได้ถึง 6%
สำหรับ กลุ่มเป้าหมายนั้น ธนาคารจะรุกเอสเอ็มอีและรายย่อยเป็นหลัก ตั้งเป้าเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ส่วนรายใหญ่จะยังไม่โตมากนัก ขณะที่ภาครัฐก็จะเติบโตไปตามจีดีพี
ทาง ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล จะลดลงต่อเนื่องหลังจากก่อนหน้านี้ขยับขึ้นมาตามเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความสามารถในการชำระลดลง โดยตอนนี้ธนาคารมีเครื่องมือในการพิจารณาสินเชื่อที่มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจว่าเอ็นพีแอลจะลดลง ซึ่งปัจจุบัน Net NPL อยู่ที่ 1.4% และการตั้งสำรองจะกลับมาปกติ หลังจากธนาคารได้ตั้งสำรองที่สูงไปแล้ว ถึงแม้ว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านมาจะมีเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้น 11,009 ล้านบาท หรือ 19.50% ก็ตาม
“เอ็น พีแอลจะลดลง เพราะเรามีตะแกรงที่ถี่ขึ้น ของเก่าก็จัดการตามขั้นตอนไป ของใหม่จะเกิดขึ้นก็ยาก โดยตอนนี้รายย่อยและเอสเอ็มอีเราจะรุกหนักเต็มที่ และจะเห็นว่าปีหน้า KTB มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จะเติบโตก้าวกระโดดทุกด้าน” นายวรภัค กล่าว
นาย วรภัค กล่าวว่า ธนาคารมีขนาดสินเชื่อและสินทรัพย์เป็นอันดับ 1 ส่วนสาขาก็มีมากสุดที่ 1,200 สาขา ขณะที่ SCB อยู่ที่ 1,100 สาขา ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้มีโอกาสที่จะมีกำไรสุทธิเป็นอันดับ 3 จากธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด รองจาก SCB และ KBANK
ปัจจุบัน ลูกค้าของ KTB แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย ลูกค้าขนาดใหญ่ประมาณ 35% ลูกค้าเอสเอ็มอีประมาณ 20% ลูกค้ารายย่อยประมาณ 35% และลูกค้าภาครัฐประมาณ 10%
ใน ขณะที่ธนาคารอื่นแบ่งเป็น 3 กลุ่มเท่านั้นไม่มีลูกค้าภาครัฐอย่างของ KTB ซึ่งก่อนหน้านี้ธนาคารได้วางนโยบาย 3 ปีที่จะไปดวงจันทร์เพื่อสร้างกำไร 3 เท่า หรือเป็น 6 หมื่นล้านบาทจากปีแรก 20,000 ล้านบาท ปีที่ 2 ขยับขึ้นมาเป็น 40,000 ล้านบาท และ ปีสุดท้าย 60,000 ล้านบาท โดยที่ต้องไม่เพิ่มทุน ไม่เพิ่มคน และทำงาน 8 ชั่วโมงใน 1 วันเช่นเคย
“ตอน นี้นโยบายธนาคารได้ปรับเป็นดาวอังคารจนมาเป็นดวงดาว และล่าสุดขอเป็นยอดเขาแทน หลังดวงจันทร์ดูจะไกลเกินไป โดยยอดเขาที่ 1 คือ การวางรากฐานรายย่อย เอสเอ็มอี และ HR ปรับกระบวนการจัดการบุคลากร ยอดเขาที่ 2 คือ กำไร และ ส่วนแบ่งทางการตลาด ยอดเขาที่ 3 คือ ต้องเป็นองค์กรที่คนอยากจะเข้ามาทำงานมากที่สุด ประกอบกับต้องมีแบรนด์ที่ดี และทำงานแล้วมีความสุข” นายวรภัค กล่าว
บล.เอ เซีย พลัส ระบุว่า ได้เลือก KTB เป็น Top Pick โดยยังคงประมาณการผลการดำเนินงานปี 2558 จะเติบโตแรงถึง 15.4% จากปี 2557 ภายใต้คาดการณ์ ROE ปี 2557-2558 เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นเป็น 15-16%
และ จากสถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้แผนการกำหนดยุทธศาสตร์ประเทศในเรื่องการคมนาคมที่จำเป็นต้องเร่งพัฒนา เริ่มเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ โดยการเร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญซึ่งจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น KTB ในระยะถัดไป
ทั้งนี้แบงก์กรุงไทยราคายัง Laggard เมื่อเทียบกับหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ด้วยกัน
เรา ยังประเมินราคาเหมาะสมปี 2557 เท่ากับ 26.70 บาท และปี 2558 เท่ากับ 29.16 บาท อิง PBV 1.67 เท่า ตามวิธี GGM ภายใต้สมมติฐานคาดการณ์ ROE ระยะยาวเท่ากับ 17.0% โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังมีอัพไซด์ถึง 28% ซึ่งน่าจะช่วยกำจัด Downside Risk ได้อีกด้วย

GRAMMY สละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต

GRAMMY สละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต

รายงานพิเศษ วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2557  

ธุรกรรมทางการเงินล่าสุด ระหว่างบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY กับผู้บริหารในเครือ นายถกลเกียรติ วีรวรรณ สะท้อนภาพที่ชัดเจนของภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงินในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของธุรกิจ ซึ่งต่อเนื่องจากธุรกรรมก่อนหน้านี้ อันเกิดจาก “ทุกขลาภ” ของการย้ายธุรกิจจากบันเทิง มาสู่ธุรกิจสื่อดิจิตอล ที่ยังไม่รู้ผลสำเร็จในบั้นปลาย
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ GRAMMY จะต้องกระทำภายใต้แผนการ กระจายการขาดทุน (loss-sharing) ในช่วงเวลาที่ธุรกิจยังไม่เห็นทางทำกำไรกลับคืนในระยะเวลาอันสั้น เพราะแผนธุรกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
คำชี้แจงล่าสุดของ GRAMMY ระบุว่า ในแผนการเพิ่มทุนจาก 400 ล้านบาท เป็น 900 ล้านบาทของบริษัทย่อยในกลุ่มคือ บริษัท จีเอ็มเอ็ม วัน ทีวี เทรดดิ้ง จำกัด (GMM ONE) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธุรกิจย่อยที่มีใบอนุญาต ธุรกิจดิจิตอล ทีวี ได้ปรากฏว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท GRAMMY มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ ขายหุ้นสามัญของ GMM ONE ที่บริษัทถือครองอยู่ให้กับนายถกลเกียรติ วีรวรรณ จำนวน 2,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท รวมเป็นมูลค่า 200,000 บาท และนายถกลเกียรติจะขายหุ้นคืนบริษัทฯ จำนวน 1 หุ้น
พร้อมกันนั้นก็ GRAMMY ก็สละสิทธิการซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนบางส่วนใน GMM ONE จำนวน 4,408,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 88.16 ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งหมดที่ GMM ONE จะทำการเพิ่มทุน เพื่อให้นายถกลเกียรติ เข้าซื้อหุ้นดังกล่าวแทน
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ จะทำให้ กลุ่มนายถกลเกียรติ สามารถเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน GMM ONE รวมเป็นจำนวน 4,408,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 100 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 440,800,000 บาท กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองของ GMM ONE ในสัดส่วน 49% รองจาก GRAMMY ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 51%
พร้อมกันนั้น GRAMMY ยังได้ขายเงินลงทุนใน บริษัท แอ็กซ์ สตูดิโอ จำกัด (ACTS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 62.5 (ถือหุ้นทางตรงในสัดส่วนร้อยละ 50 และถือหุ้นทางอ้อมในสัดส่วนร้อยละ 12.5) ให้กับ GMM ONE จำนวน 2,531,249 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท รวมเป็นมูลค่า 253,124,900 บาท
การขายหุ้น และสละสิทธิการซื้อหุ้นเพิ่มทุน 2 รายการดังกล่าว หากมองจากภายนอก ย่อมเป็นการแต่งตัวธรรมดาเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจ เพราะโดยข้อเท็จจริง นายถกลเกียรติ ก็มีฐานะเป็นผู้บริหารเดิมของ GRAMMY และบริษัทในเครืออยู่แล้ว โดยดำรงตำแหน่งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม วัน ดิจิทัล ทีวี ถือว่าอยู่ในกลุ่มผู้ที่ดำรงตำแหน่งระดับบริหารสี่รายแรกต่อจากผู้บริหารสูงสุดของบริษัทฯ (ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทฯ คือ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม) จึงถือเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับบริษัท
เมื่อหักลบแล้ว จะทำให้ GRAMMY ได้รับเงินสดจากธุรกรรมครั้งนี้ที่ 253,234,800ล้านบาท เป็นกระแสเงินสดที่เข้ามาในยามที่สภาพคล่องของบริษัทเข้าข่ายฝืดเคืองพอสมควร และสามารถเดินหน้าทำธุรกิจต่อไปได้อีก เพราะแผนกระจายการขาดทุนทำงานได้ผลอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้ มิใช่ครั้งแรกในปีนี้ ที่ GRAMMY ตัดสินใจขายหุ้น เพราะในเดือนธันวาคมนี้เอง ก็เพิ่งจะตัดสินใจขายหุ้นหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับ บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SLC จำนวน 10 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 1.22% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว ในราคาหุ้นละ 13.50 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนจำนวน 135 ล้านบาท
ที่น่าสนใจก็คือ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา GRAMMY ได้ประกาศจับมือร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจ กับ บริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด หรือ CTH ที่มีสาระเป็นทั้งพันธมิตรทางการตลาด และหุ้นส่วนทางการเงินควบคู่กันไปด้วย
รูปแบบของการเป็นพันธมิตรคือ ชูประเด็นการตลาดว่าจะเปิดตลาด “พรีเมียม แมส” ด้วยการสร้างแพ็กเกจใหม่ที่ให้ GMM Z นำเอาการถ่ายทอดสดศึกลูกหนังพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ร่วมกัน รวมถึงคอนเทนต์ฟุตบอลลีกชั้นนำของโลก และกีฬาดังมากมาย อาทิเช่น เทนนิส, มวยปล้ำ หรือว่า มอเตอร์สปอร์ต  ซึ่งหมายถึงการเปิดทางให้ GMM Z นำเอาคอนเทนต์ของ CTH ในด้านฟุตบอลพรีเมียร์ลีก มาสร้างเป็นแพ็กเกจทางการตลาดใหม่ในลักษณะสร้างพลังผนึกด้านคอนเทนต์ สอดรับกับสูตร “ใช้ช่องทางสร้างมูลค่า”
เพื่อให้การร่วมมือบังเกิดผลร่วมทางการเงินด้วย จึงมีกากระชับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนกัน โดยผ่านการเพิ่มทุนบริษัทลูกของ GRAMMY คือ GMM B จากทุนเดิม 1 ล้านบาท เป็น ทุนจดทะเบียนใหม่ 3,865.97 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทย่อยของ GRAMMY ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ GMM B คือ บริษัท แซท เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทขายกล่อง จีเอ็มเอ็มแซท เอาใบหุ้นของ GMM B  ซึ่งตีมูลค่าเป็น 26.64 บาทต่อหุ้น ไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนของทุน CTH ในสัดส่วน 10% (สัดส่วนหลังการเพิ่มทุนของบริษัทหลัง) หรือ 300 ล้านหุ้น (ราคาพาร์ 10 บาท) โดยที่การเพิ่มทุนของ CTH นั้น อีกส่วนหนึ่งผู้ถือหุ้นเดิมคือกลุ่มวัชรพล และกลุ่มนายวิชัย ทองแตง ได้ซื้อเอาไปด้วย โดยประเมินมูลค่าหุ้นของ CTH ที่ 34.33 บาทต่อหุ้น
กรณีดังกล่าว  CTH ได้ทำการเพิ่มทุนจากทุนจดทะเบียนเดิม 800 ล้านบาท เป็นทุนใหม่อีก มากกว่าเท่าตัว โดยส่วนหนึ่งเอามาขายให้กับ แซท เทรดดิ้ง กลายเป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 1,925.88 ล้านบาท โดยที่ก่อนการเพิ่มทุนนั้น CTH มีสภาพทางการเงิน (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556) ที่ย่ำแย่เพราะส่วนผู้ถือหุ้นติดลบอยู่ 3,499.82 ล้านบาท การเพิ่มทุน จึงถือเป็นการเติมเงินสดเข้าไปทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบน้อยลงโดยปริยาย
ในมุมกลับ บริษัท ซีทีเอช แอลซีโอ จำกัด  หรือ CTH LCO ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ CTH ถือหุ้น 100% จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของ GMM B โดยปริยาย เท่ากับย้ายไปอยู่ภายใต้โครงสร้างการบริหารของ CTH เต็มรูป ซึ่งเท่ากับว่า โดยวิธีการนี้ GMM B จะหลุดออกจากโครงสร้างโดยตรงของ GRAMMY อย่างสิ้นเชิง ทำให้การรับรู้ตัวเลขกำไรขาดทุนของ GMM B โดยตรงในบริษัทแม่หมดไป
ธุรกรรมการแลกหุ้นไปมาระหว่างกลุ่มบริษัทสร้างเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจร่วมกัน โดยไม่ต้องใช้เงินสดระหว่างกัน ถือเป็นการปลดภาระไปได้เปลาะหนึ่ง จากเปลาะที่มีอยู่จำนวนมาก
โดยข้อเท็จจริง นับแต่GRAMMY เปิดเกมรุกในตลาดสื่อแห่งอนาคตด้วยธุรกิจทีวีดาวเทียม เริ่มตั้งแต่การเข้าซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดบอลยูโร 2012 เป็นต้นมาและขายกล่องรับสัญญาณ โดยผ่านกลยุทธ์หลากหลายทางการตลาด ทั้งกลยุทธ์ทางด้านราคาและเจาะกลุ่ม (Segmentation) ตามไลฟ์สไตล์ ด้วยการเสนอแพ็กเกจทั้งในรูปแบบซื้อกล่อง หรือแพลตฟอร์มการเข้าครั้งเดียว กับแบบ เพย์-ออน-ดีมานด์ ถือว่าพลาดเป้าทำให้ฐานะการเงินย่ำแย่ลง
2 ปีมานี้ พื้นฐานของGRAMMY ได้เปลี่ยนจากบริษัทที่มีกระแสเงินสดเหลือเฟือในอดีต และเป็นหุ้นที่น่าสนใจ กลายเป็นหุ้นที่ถูกเมิน เพราะตัวเลขหนี้สิน ถึงขั้นต้องทำการเพิ่มทุนใหม่ในกลางปี 2556 และยังมีการขอเพิ่มทุนระลอกใหม่ล่วงหน้าเอาไว้
กระบวนการผ่องถ่ายทรัพย์สินออกจากมือ เพื่อปลดสัมภาระ หรือการรักษาชีวิตด้วยการตัดทิ้งอวัยวะบางส่วนออกไป ที่กระทำกันมาตลอดปี 2557 จนถึงล่าสุดกรณี GMM ONE สะท้อนเส้นทางขรุขระทางการเงินในลักษณะ ”อนาคตสดใส แต่หนทางคดเคี้ยว” ของ GRAMMY ได้เป็นอย่างดี
อย่างน้อยที่สุด ก็ได้เห็นความมุ่งมั่นหาทางออกจากปัญหาของกลุ่มผู้บริหารGRAMMY อย่างจริงจัง มิได้ปล่อยไปตามยะถากรรมเสมือนเรือที่ไร้หางเสือ

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557

JASลดทุนอีกครั้งตัดทิ้ง142ล้านหุ้นผู้ถือหุ้นมีเฮ! รับเงินปันผลเพิ่มขึ้น

JASลดทุนอีกครั้งตัดทิ้ง142ล้านหุ้นผู้ถือหุ้นมีเฮ! รับเงินปันผลเพิ่มขึ้น

ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 23 ธันวาคม 2557
จับตา JAS ลดทุนจดทะเบียน ด้วยวิธีการตัดหุ้นที่ซื้อคืนทิ้งไป หลังซื้อหุ้นคืนทั้งหมด 142.73 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 989.70 ล้านบาท คิดเป็น 2% ราคาซื้อคืนสูงสุด 8.50 บาท โบรกเกอร์ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์จากปันผลเพิ่มขึ้น
นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า บริษัทสิ้นสุดโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน จากผลการซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.-18 ธ.ค. 57 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถดำเนินการซื้อหุ้นคืนรวมทั้งสิ้น 142.73 ล้านหุ้น คิดเป็น 2% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด มูลค่ารวมทั้งสิ้น 989.70 ล้านบาท
โดยจำนวนการซื้อคืนดังกล่าว ถือว่าไม่เกินวงเงินตามที่คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 57 ที่กำหนดให้ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 10% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 7,137,394,378 หุ้น คิดเป็นจำนวนหุ้นไม่เกิน 713,739,437 หุ้น วงเงินสูงสุดที่ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และการซื้อหุ้นคืนจะซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยบริษัทซื้อหุ้นคืนภายใน 6 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.-24 ธ.ค. 57)
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนสามารถทำได้ ภายหลัง 6 เดือน นับแต่การซื้อหุ้นคืนเสร็จสิ้น ในกรณีบริษัทไม่จำหน่ายหรือจำหน่ายไม่หมดภายในอายุโครงการ เมื่อพ้นกำหนดนั้นแล้ว บริษัทจะลดทุนที่ชำระแล้วโดยวิธีตัดหุ้นจดทะเบียนที่ซื้อคืนและมิได้จำหน่ายทั้งหมด ถือว่าเป็นไปตามกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทจะพิจารณากำหนดวันจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนและแจ้งให้ผู้ลงทุนทราบต่อไป
แหล่งข่าววงการเงิน ระบุว่า สุดท้ายแล้วเชื่อว่า JAS จะไม่มีการขายหุ้นที่ซื้อคืนออกมาอย่างแน่นอน และเลือกใช้วิธีการลดทุนด้วยการตัดหุ้นที่ซื้อคืน 142.73 ล้านหุ้นทิ้งไป (ลดทุน 142 ล้านบาท) โดยวิธีการดังกล่าวเป็นเป็นวิธีเดียวกับช่วงเดือนมกราคม 2556 JAS มีการซื่อหุ้นคืนและดำเนินการลดทุนชำระแล้วจาก 3,622,125,689 บาท เป็น 3,568,697,189 บาท โดยการตัดหุ้นที่ซื้อคืนบริษัท 106,857,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 0.50 บาท รวม 53,428,500 บาท
เช่นเดียวเมื่อปี 2554 ที่ JAS มีการซื้อคืนหุ้น 155,240,000 หุ้น หรือ 2.10% ของหุ้นทั้งหมด โดยไม่มีการขายหุ้นออกมาแต่ใช้วิธีการลดทุนจดทะเบียน ด้วยการตัดหุ้นจดทะเบียนจาก 7,399,491,378 หุ้น เป็น 7,244,251,378 หุ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าหุ้น JAS ทางอ้อมเช่นกัน
บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า การลดทุนด้วยการตัดซื้อหุ้นคืนทิ้งไป ทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นและทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นและเมื่อหุ้นในตลาดน้อยลง ทำให้ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์เรื่องเงินปันผลมากขึ้น ส่วนกรณีที่บริษัทไม่จำหน่ายหรือจำหน่ายไม่หมดภายในอายุโครงการ และต้องทำการลดทุนนั้นเป็นกระบวนการปกติที่ต้องลดทุนจดทะเบียนลง
บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด จำกัด ประเมินว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/57 ธุรกิจปกติจะมีกำไรเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่จะชะลอตัวเล็กน้อย 3% เทียบไตรมาสก่อนจากฐานค่าใช้จ่ายสูงกว่าไตรมาสอื่น ทั้งนี้อยู่ระหว่างปรับเพิ่มประมาณการจากเดิม เบื้องต้นประมาณการใหม่ปี 2557-2560 เพิ่มจากเดิม 6-7% จะเป็นอัพไซด์ส่วนเพิ่มต่อมูลค่าเหมาะสม 8.15 บาท
ทั้งนี้ ช่วง 9 เดือนแรกปี 2557 JAS มีกำไรสุทธิ 2,385 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 139 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 2,246 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานธุรกิจปกติช่วง 9 เดือนแรกปี 2557 คิดเป็น 80% ของทั้งปี
ก่อนหน้านี้นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JAS กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2557 มั่นใจว่ารายได้จะเติบโต 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 11,260 ล้านบาท และกำไรสุทธิเติบโตมากกว่าปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,002 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง ... 22 ธันวาคม 2557

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง ...
22 ธันวาคม 2557





ชื่อ:  001.PNG
ครั้ง: 1023
ขนาด:  571.6 กิโลไบต์






Russia Updated
---------------------


ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียออกมาเตือนว่า “รัสเซียกำลังเข้าสู่วิกฤตธนาคารเต็มรูปแบบ”
Evgeny Gavrilenkov หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย (Sberbank CIB) เตือนว่า มาตรการฉุกเฉินที่ธนาคารกลางรัสเซียอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบธนาคารเพื่อ ป้องกันไม่ให้ภาคการเงินผิดนัดชำระหนี้อาจส่งผลเสียในอนาคต เนื่องจากธนาคารอาจไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 17% ขณะที่หลักประกันอาจไม่มีคุณภาพดีพอหากธนาคารขาดทุน”



การกระตุ้นสภาพคล่องด้วยการอัดฉีดเงินกว่า 7.3 ล้านล้านรูเบิล ภายใต้อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเป็นภาระที่ธนาคารจะต้องชำระคืนกว่า 1.2 ล้านล้านรูเบิลต่อปี หรือกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ



สัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารเพิ่มเป็น 27.3% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2006 แสดงให้เห็นว่าความมั่นใจในภาคการธนาคารตกต่ำอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ Mr. Anton Siluanov รัฐมนตรีคลังรัสเซีย ยังได้ออกมายอมรับว่า “ธนาคารของประเทศมีเงินทุนไม่เพียงพอในการรักษาอัตราส่วนเงินกองทุน (Capital adequacy ratio)” ปัญหานี้ Mr. Evgeny Gavrilenkov มองว่าทางการรัสเซียต้องแยกแยะระหว่างความตึงเครียดจากปัจจัยชั่วคราวกับ ปัจจัยพื้นฐานของสถาบันการเงิน ซึ่งอาจจบลงด้วยต้นทุนที่แพงและไม่คุ้มค่าที่สุดสำหรับประเทศ ..... ข้อมูลจาก Business insider


อย่างไรก็ตาม แฟรงค์-วอลเตอร์ สไตน์มายเออร์ รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ระบุว่า มีความกังวลเรื่องสหภาพยุโรปคว่ำบาตรรัสเซียว่าจะยิ่งจร้างผลกระทบทาง เศรษฐกิจต่อยุโรป และยุโรปจะไม่ได้ประโยชน์หากวิกฤตเศรษฐกิจรัสเซียทวีความรุนแรงขึ้นจนยากที่ จะควบคุม


ทั้งนี้ Silverdoctors.com ระบุว่า ไม่มีใครรู้ว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน คิดอะไรหรือจะทำอะไรต่อไป รู้แต่ว่าปูตินขายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเพื่อแลกทองคำอย่างเดียว โดยหากขายแล้วได้ดอลลาร์สหรัฐฯ ก็จะแลกกลับเป็นทองคำ จะเกิดอะไรขึ้นกับดอลล่าร์ถ้ารัสเซียกับจีนปฏิเสธที่จะรับค่าขายสินค้าเป็น ดอลลาร์สหรัฐฯ แล้วขอรับเป็นทองคำอย่างเดียว ถ้าหากประเทศตะวันตกไม่มีทองคำเหลือพอที่จะซื้อน้ำมัน ก๊าซ และยูเรเนี่ยมจากรัสเซีย หรือไม่เหลือทองคำพอที่จะซื้อสินค้าต่างๆ จากจีน
.
General News
------------------



• ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (LEI) สหรัฐปรับตัวขึ้น 0.60% ในเดือน พ.ย. บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มจะขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าไป จนถึงช่วงฤดูหนาว


• ยอดค้าปลีกของอังกฤษ เพิ่มขึ้น 6.4% ในเดือน พ.ย. 2557 เป็นอัตราการขยายตัวต่อปีสูงสุดนับตั้งแต่ พ.ค.2547 โดยเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากเครื่องใช้ไฟฟ้า 32% และห้างสรรพสินค้า 15%


• สำนักงานสถิติแห่งชาติของฝรั่งเศส (Insee) คาดว่า เศรษฐกิจฝรั่งเศสจะขยายตัว 0.3% ในไตรมาสแรกของปีหน้า และ 0.7% ในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่อัตราว่างงานปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเป็น 10.2% ในช่วงกลางปี 2558 เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจยังไม่เพียงพอที่จะซึมซับจำนวนคนว่างงานกว่า 3 ล้านคนเข้าสู่ตลาดแรงงาน


• อากิระ อามาริ รมว.คลังและเศรษฐกิจ กล่าวว่า ญี่ปุ่นได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงและเงินเยนที่อ่อนค่า ซึ่งราคาน้ำมันดิบในขาลงคิดเป็นมูลค่าเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านล้านเยน


• ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลงเป็นประโยชน์ต่อเอเชียทั้งภูมิภาค เนื่องจากหลายประเทศในเอเชียต้องนำเข้าน้ำมัน ทำให้เป็น 'โอกาสทอง' ในการปฏิรูปเศรษฐกิจของเอเชีย


• ซาอุดิอาระเบีย ระบุว่า การปรับตัวลงของราคาน้ำมันเกิดจากอุปทานน้ำมันที่ขยายตัวขึ้นจากหลายพื้นที่ และอุปสงค์น้ำมันที่ชะลอตัวลงทั่วโลก ทั้งนี้ กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ยังคงการผลิตน้ำมันที่ประมาณ 30 ล้านบาร์เรล/วัน โดยซาอุดิอาระเบียผลิตที่ 9.6 ล้านบาร์เรล/วัน


• ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย ปรับลดการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือไม่ถึง 1% จากเดือน ก.ย.ที่คาดว่าจะเติบโต 1.4% และมองการเติบโตปี 2558 จะลดเหลือ 4% จากเดิม 4.5% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว และปัญหาเศรษฐกิจรัสเซียอาจส่งผลให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอลงกว่าที่คาด จนทำให้ไทยส่งออกได้ลดลง


• Standard and Poor’s ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศที่ ระดับ BBB+ และอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินบาทที่ระดับ A- พร้อมยืนยันแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ “มีเสถียรภาพ”


• สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก โดยมีอัตราภาษีที่ 10% ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 160 ต่อ 16 เสียง ทั้งนี้ จะเก็บภาษีมรดกจากผู้รับมรดกที่มีมูลค่า 50 ล้านบาทขึ้นไปต่อรายในอัตรา 10% โดยจะต้องเป็นการโอนมรดกให้กับทายาทโดยตรง



• สุนชัย คำนูญเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ หรือค่าเอฟทีงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2558 จะลดลงอย่างแน่นอนจากการใช้ไฟฟ้าต่ำกว่าคาด ทั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง เพราะต้นทุนก๊าซธรรมชาติได้รับผลพวงจากราคาน้ำมันย้อนหลัง 3-6 เดือน
.
Equity Market
------------------



• SET Index ปิดที่ 1,514.35 จุด ลดลง 2.44 จุด(-0.16%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 57,702.52 ล้านบาท โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าสอดคล้องบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกมีทิศทางเชิง บวก ประกอบกับมีแรงซื้อกองทุนรวมของกลุ่มนักลงทุนสถาบันเพิ่มมากขึ้น แต่เคลื่อนไหวผันผวนตลอดวัน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงยังเป็นปัจจัยกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน


สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม (ล้านบาท)


นักลงทุนสถาบัน +2,605.12
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ +1,185.79
นักลงทุนต่างชาติ +30.11
นักลงทุนทั่วไป -3,821.02
.
Fixed Income Market
---------------------------


• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลง -0.01% ถึง 0.03% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 62,845.45 ล้านบาท สำหรับวันนี้มีการประมูลตั๋วเงินคลัง อายุ 28 วัน มูลค่า 15,000 ล้านบาท และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ อายุ 182 วัน มูลค่า 10,000 ล้านบาท
หากมีจุดหมายอย่ากลัวหลงทาง