วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

ปรากฏการณ์คุ้นๆ พลวัต 2016

ปรากฏการณ์คุ้นๆ

ปรากฏการณ์คุ้นๆ
พลวัต 2016


วิษณุโชลิตกุล


ตัวเลขซื้อสุทธิของต่างชาติ 8,551 ล้านบาท เมื่อปิดตลาดหุ้นไทยวานนี้ หากพิจารณาอย่างผิวเผิน ช่างคล้ายคลึงกับปรากฏการณ์ที่เกิดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ปีนี้ ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยทะยานจากฐานที่ระดับ 1,294 จุด บวกไปมากกว่า 25 จุดไปยืนปิดแหนือ 1,320 จุดได้ และจากนั้นก็ทะยานขึ้นฝ่าแนวต้านไปเหนือ 1,400 จุดโดยไม่มีการพักฐาน จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนนี้เอง

ที่เหมือนกันอีกอย่างคือ การไหลเข้าของทุนเก็งกำไรต่างชาติที่เข้ามาซื้อสุทธิมากหลายพันล้านเช่นกัน เพียงแต่ในความเหมือนกันนั้น ก็มีความแตกต่างในรายละเอียดให้เห็นหลายประการเช่นกัน

ภายใต้สถานการณ์ทุนไหลเข้ารุนแรงนั้น เราได้เห็นชัดเจนว่า มีผลให้ตลาดหุ้นไทยทะยานขึ้นไปรุนแรงได้ทุกครั้ง เพราะทุนเก็งกำไรต่างชาตินั้น เข้ามาในลักษณะทะลวงจุดอ่อนของตลาดเงินและตลาดทุนไทยพร้อมกัน 3 ทางคือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา ตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น โดยที่ทั้งสามตลาดจะเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน

นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนขนาดใหญ่ในยุโรปพูดเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อวานนี้ว่า ปัจจัยเดียวที่ขับเคลื่อนตลาดวานนี้ให้บวกทั่วโลก คือ นางเจเน็ต เยลเลน

ท่าทีชัดเจนของ นางเจเน็ต เยลเลน ตอกย้ำการเป็นนักการเงินสายพิราบตัวจริง ด้วยการออกมาสกัดคำพูดก่อนหน้าของบรรดาสายเหยี่ยวใน เฟดฯว่า จะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย และถ้าจะขึ้นก็อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะแม้ความเสี่ยงภายในของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะไม่มาก แต่แรงกดดันผลกระทบจาก 3 ปัจจัยสำคัญคือ 1) ภาวะทรุดตัวของเศรษฐกิจโลก 2) ราคาน้ำมันที่ดิ่งลง 3) ความผันผวนในตลาดหุ้นยังเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวัง

การส่งสัญญาณจะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย และถ้าจะขึ้นก็อย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีการกำหนดเวลาที่ชัดเจน โดยระบุว่า แม้สหรัฐฯจะมีความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจต่ำ แต่อยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนอย่างมาก ไม่มีนัยให้ตีความอีก

สำหรับตลาดเก็งกำไร การยืนยันดังกล่าว จะต้องมีการฉลองชั่วขณะ ดังที่ตลาดหุ้นทั่วโลกแสดงปฏิกิริยาออกมาในทางบวก ยกเว้นญี่ปุ่นที่ข่าวดีจะถูกตีความทางลบ เพราะค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น

ปฏิกิริยาในทันทีจากคำปราศรัยของนางเยลเลน ทำให้เกิดรากฏการณ์ร่วม 3 อย่างคือ 1) ราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐร่วงลงทันที สวนทางกับอัตราผลตอบแทนที่พุ่งสูงขึ้น 2) ราคาหุ้นกลุ่มการเงินและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันและทองคำแท่ง พุ่งแรงอีกวันหนึ่งขานรับข่าวดี 3) ค่าดอลลาร์ร่วงลงทันทีในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราทั่วโลก

การที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก มองข้ามราคาน้ำมันที่ร่วงแรงกว่า1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยดัชนีดาวโจนส์พลิกดีดตัวพุ่งแรงกลางตลาดหลังจากผันผวนในแดนลบช่วงแรก ดัชนี S&P500 ปิดบวกทำนิวไฮในรอบ 3 เดือนอีกครั้งอย่างโดเด่นเหนือ 2,000 จุด ถือเป็นการกลบข่าวร้ายด้วยข่าวดีตามปกติ

สำหรับตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ หากไม่นับตลาดหุ้นโตเกียวที่จะได้รับผลร้ายจากการแข็งของเงินเยนแล้ว ทุนเก็งกำไรจะไหลกลับเข้ามาดันตลาดให้เป็นขาขึ้นคึกคักระลอกใหม่อีกครั้ง หลังจากที่มีการชะลอการลงทุนและพักฐานในหลายวันมานี้ เพื่อรอดูท่าทีของเฟดฯ

ส่วนตลาดหุ้นไทย ที่เมื่อวานนี้ ปรับตัวบวกท้ายตลาดยืนเหนือ 1,410 จุดได้อีกครั้ง เพราะมีแรงซื้อต่างชาติย้อนกลับเข้ามาครั้งใหม่ แม้กระทั่งหุ้นพลังงานที่ควรจะร่วงลงก็ยังถูกแรงซื้อดันให้บวกจนได้ ในขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ขานรับแรงซื้อเต็มที่ โดยกองทุนในประเทศที่รับบทผู้ร้ายหลายวันมานี้ ก็กลับลำหันมาซื้อสุทธิตามกระแส ปล่อยให้รายย่อยขายทำกำไรเป็นหลัก

สถานการณ์ขาขึ้นชั่วคราวนี้ จะดำเนินต่อไปได้ไกลเพียงใด


คำตอบจากนักวิเคราะห์หลายสำนักยังคงยืนยันว่า แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตาอยู่ที่ 1,430 จุด หากผ่านไปไม่ได้ก็จะถึงเวลาปรับฐานจริงจังเสียทีโดยเฉพาะช่วงก่อนสงกรานต์ ที่จะมีวันหยุดค่อนข้างยาวนานกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ท่ามกลางแรงซื้อของต่างชาติอย่างรุนแรงเข้มข้นวานนี้ ตลาดเมินเฉยต่อข่าวการที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี ทำการปรับลดการคาดการณ์ เศรษฐกิจไทยในปี 2559 โตร้อยละ 3 จากเดิมคาดว่าโตร้อยละ 3.5 และจีดีพีจะเร่งตัวเพิ่มเป็นร้อยละ 3.5 ในปี 2560 เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศสำคัญยังขยายตัวได้ไม่เข้มแข็ง 


แม้การการประเมินในครั้งนี้ จะไม่ได้รวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงสงกรานต์ ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือนเมษายนได้ แต่ผู้ทำการประเมินก็ยืนยันว่า ผลของมาตรการ ?ฝนตกไม่ทั่วฟ้า? ดังกล่าว ต่อจีดีพีทั้งปีมีน้อยมาก

เอดีบี ระบุว่า ตัวการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่สำคัญ คือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง 8 ปี คาดว่าในปีนี้จะมีการเริ่มดำเนินการใน 20 โครงการมูลค่า 1.7 ล้านล้านบาท ทั้งโครงการรถไฟฟ้า รถไฟ มอเตอร์เวย์ ท่าเรือ การขยายสนามบินสุวรรณภูมิ หากการลงทุนเป็นไปตามที่กำหนดจะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและ การลงทุนภาคเอกชนให้ลงทุนตาม โดยประเมินการลงทุนภาครัฐปีนี้ขยายตัวร้อยละ 10

ขณะที่การส่งออกในปีนี้ยังคงหดตัวต่อเนื่อง ติดลบร้อยละ 1 ก่อนที่จะเริ่มขยายตัวร้อยละ 1 ในปี 2560 โดยต้องจับตาเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่เชื่อมโยงต่อการส่งออกไทย ซึ่งเอดีบี ทำการศึกษาว่า หากอัตราการเติบโตของจีนชะลอลงอีกร้อยละ 0.85 จากที่คาดการณ์ว่าโตร้อยละ 6.5 จะมีผลกระทบต่อจีดีพีประเทศเกิดใหม่ และไทยลดลงร้อยละ 0.3

สิ่งที่สามารถพยุงเศรษฐกจิไทยเอาไว้ให้มีดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลชำระ เงินเป็นบวกต่อเนื่อง อยู่ที่รายได้จากภาคการท่องเที่ยว ที่ยังเป็นปัจจัยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ส่วนมูลค่าการนำเข้าจะขยายตัวเล็กน้อยในปีนี้ และเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า เมื่อโครงการลงทุนภาครัฐเดินหน้าต่อเนื่อง

สำหรับการบริโภคเอกชน คาดว่าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น และเพิ่มสูงขึ้นในปี 2560 แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้งที่ทำให้ผลผลิตข้าวและผลผลิตการเกษตรลด ลง บวกกับราคาสินค้าเกษตรที่ยังตกต่ำ และหนี้ครัวเรือนที่สูงถึงร้อยละ 81 ของจีดีพี ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของการบริโภค

หากนำมุมมองเชิงลบของเอดีบี มาหักกลบเข้ากับข้อเท็จจริงที่ว่า ตลาดคงใช้เวลาซึมซับข่าวดีของนางเยลเลนอีก 2-3 วันแล้ว นักลงทุนที่ชาญฉลาดและมีประสบการณ์ ควรจะตระหนักดีว่า ทิศทางขาขึ้นจากวานนี้ของตลาดหุ้นไทยนั้น ไม่น่าจะยาวนานเหมือนใน 1 เดือนเศษที่ผ่านมา เพราะดัชนีตลาดไทยที่เริ่มแกว่งไกวมาก่อนหน้านี้ 1 สัปดาห์ เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนว่า ?ยิ่งสูง ยิ่งหนาว? เป็นสถานการณ์ที่เป็นไปได้เสมอ

ปรากฏการณ์ที่ดู ?คุ้นๆ? เมื่อวานนี้ น่าจะสอนให้นักลงทุนตระหนักว่า มายาภาพของตลาดนั้น เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะอารมณ์ร่วมของตลาดมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เช่นกันกับเงินเก็งกำไรของทุนต่างชาตินั้น เข้ามาได้ก็ออกไปได้ ไม่มีความแน่นอนยั่งยืน






ที่มา..ข่าวหุ้นออนไลน์

พัฒนาการทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะสร้างความเสี่ยง โดยสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุด คือ จีน

เจเน็ต เยลเล็น ประธานธนาคารกลางสหรัฐรู้สึกดีเกี่ยวกับเศรษฐกิจอเมริกาแต่มองเห็นความเสี่ยงที่มาจากต่างประเทศ โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประธานธนาคารกลางสหรัฐได้พูดถึงเศรษฐกิจสหรัฐในเชิงบวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดแรงงานได้โตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคฟื้นตัว แต่เมื่อพูดถึงเศรษฐกิจโลก ประธานธนาคารกลางสหรัฐกลับมองว่ามืดมน
เยลเล็น กล่าวว่า พัฒนาการทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะสร้างความเสี่ยง โดยสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุด คือ จีนและน้ำมัน ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและทิศทางของค่าเงินหยวนเป็นสาเหตุให้ตลาดปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงต้นปีซึ่งดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงประมาณ 2,000 จุด
หุ้นดีดตัวทีนทีหลังจากที่เยลเล็นพูดเช่นนั้น ดัชนีเอสแอนด์พี 500กลับมาอยู่ในแดนบวกในปีนี้และดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ระดับสูงสุดในปี 2559 ความเห็นของเธอทำให้การขึ้นดอกเบี้ยเมื่อมีการประชุมในเดือนเมษายน ไม่น่าจะเกิดขึ้น 
เยลเล็นวิตกว่า การปรับตัวลงอีกครั้งของราคาน้ำมันอาจทำให้ประเทศที่ได้รับการขับเคลื่อนจากน้ำมันลดการใช้จ่ายและบริษัทพลังงานจะลดตำแหน่งงาน ปฏิกิริยาเช่นนั้นอาจส่งผลกระทบในทางตรงกันข้ามไปยังเศรษฐกิจอื่นๆ
สิ่งหนึ่งที่น่ากลัวหนึ่งคือหากเศรษฐกิจล้ม เฟดจะไม่สามารถทำอะไรได้มาก แผนการที่จะลดดอกเบี้ยที่มักนำมาใช้ จะไม่ได้ผลแล้วเนื่องจากในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยต่ำมากแล้ว และเยลเล็นอยากจะเห็นสภาคองเกรสดำเนินมาตรการเพื่อกระตุ้นการเติบโต
เมื่อสองสัปดาห์ก่อนนี้เท่านั้นที่เฟดได้ลดประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจและได้ระงับการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มอีก หลังการประชุม เจ้าหน้าที่ของเฟดหลายคนมีความรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจมส์ บัลลาร์ด ผู้ว่าการธนาคารกลางเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดน่าจะมีเหตุผลที่จะเคลื่อนไหวในเดือนเมษายนหากงานและเงินเฟ้อยังคงดีอยู่
อย่างไรก็ดี เยลเล็นกล่าวว่า เฟดตั้งใจที่จะ”ดำเนินการอย่างระมัดระวัง
ก่อนที่จะเข้าสู่ปี 2559 เฟดคาดการณ์ว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ แต่ในขณะนี้คาดว่าจะขึ้นเพียงสองครั้ง หลังจากที่เฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี ในเดือนธันวาคม
การจ้างงานของอเมริกาเป็นไปตามเป้าหมายที่เฟดวางไว้ แต่เงินเฟ้อไม่โตตามเป้า และยังโตช้ามากเพราะราคาน้ำมันถูกและค่าแรงโตไม่มาก
ราคาน้ำมันได้ดีตัวในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้จากที่ต่ำกว่า 27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นประมาณ 40 ดอลลาร์แล้วในขณะนี้ หากยังคงมีแนวโน้มเช่นนี้ต่อไป เงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้น
แต่รายงานเงินเฟ้อล่าสุดที่ออกมาเมื่อวันจันทร์ชี้ว่า เงินเฟ้อลดลงเล็กน้อยในเดือนกุมภาพันธ์ แต่เมื่อไม่รวมราคาพลังงานและอาหาร เงินเฟ้อหลักเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งใกล้เคียงกับเดือนมกราคม
ข่าวเงินเฟ้อเมื่อวันจันทร์ไม่ได้ช่วยหรือกระทบต่อเหตุผลที่จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนเมษายน แต่ยังคงถือว่าไม่น่าจะขึ้น อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนเมษายนอาจจะเปลี่ยนไปในวันศุกร์นี้เมื่อกระทรวงแรงงานเปิดเผยรายงานการจ้างงานในเดือนมีนาคม
หากสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าตำแหน่งงานและค่าแรงเติบโตอย่างแข็งแรง ก็อาจจะสร้างความมั่นใจให้กับเฟดที่จะขึ้นดอกเบี้ยเมื่อมีการประชุมในเดือนเมษายนนี้ แต่ความวิตกของเยลเล็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกอาจจะยับยั้งไม่ให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

ผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในไทยรอวันตาย

NPC Safety and Environmental Service Co.,Ltd.

โดยทางส.อ.ท.เห็นว่า การปรับลด Adder จากปัจจุบัน 8 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 10 ปี ลงมาเหลือ 6.50 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 15 ปี ถือเป็นการทำลายผู้ประกอบการผลิตแผงและติดตั้งโซลาร์เซลล์ภายในประเทศ ที่ยังมีกำลังการผลิตน้อยอยู่ เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีกำลังการผลิตสามารถเข้ามาทุ่มตลาดในต้นทุนที่ต่ำ ในขณะที่การใช้งานของแผงโซลาร์ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าจะสามารถใช้งานเต็มประสิทธิภาพได้หรือไม่ 
ที่สำคัญจากการออกมาระบุของกระทรวงพลังงานในการปรับ Adder ครั้งนี้ ได้ส่งผลให้นักลงทุนที่กำลังจะทำสัญญาซื้อแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ได้ชะลอการลงทุนออกไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจพลังงานทดแทนเป็นอย่างมาก ดังนั้น ทางกระทรวงพลังงาน ควรจะมีการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายก่อนที่จะมีการปรับ Adder ต่อไป เพราะไม่เช่นนั้นแล้วผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ 
อย่างไรก็ตาม หากทางกระทรวงพลังงานจะปรับค่า Adder ลงมา ก็ควรที่จะลดให้เฉพาะเทคโนโลยีจากจีนเท่านั้น แต่ในส่วนของที่ผลิตในประเทศควรจะให้คงเดิมไว้ก่อน เพื่อให้ผู้ประกอบการในประเทศมีระยะเวลาการปรับตัว และต้องบอกให้เป็นขั้นเป็นตอน 
นายเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด(มหาชน) ผู้ผลิตและติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เปิดเผยว่า การที่กระทรวงพลังงานมีแนวคิดที่จะปรับลด Adder ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะธุรกิจพลังงานทดแทนในประเทศไทยเพิ่งเกิดมาได้ 2-3 ปี และการให้ Adder จากการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ 8 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 10 ปี เวลานี้ก็ยังไม่มีการลงทุนจำนวนมาก มีการตั้งเป็นโซลาร์ฟาร์มอยู่ไม่ถึง 10 เมกะวัตต์ 
ดังนั้น กระทรวงพลังงานจะต้องทบทวนให้ดี ที่จะต้องคิดในระยะยาว และให้เกิดความชัดเจนไม่ส่งเสริมกลับไปกลับมา เพราะหากปรับ Adder ลดลงแล้ว จะทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อถือที่จะเข้ามาลงทุน อีกทั้ง การนำเทคโนโลยีจากจีนมาอ้างว่ามีราคาถูก เพราะจีนผลิตออกมาจำหน่ายเป็นจำนวนมากเกิดการล้นตลาด ตลาดทางยุโรปซบเซา ขายใครไม่ได้ จึงมาเสนอขายให้ไทยในราคาถูกแทน 
นายกฤษฎา จงไพบูลย์พัฒนะ รองประธานฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท บางกอกโซลาร์ เพาเวอร์ จำกัด กล่าวว่า หากมีการปรับลดลงจริง จะกระทบต่อการทำธุรกิจของผู้ประกอบการในประเทศอย่างแน่นอน เพราะว่าจีนมีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ จะทำให้ผู้ผลิตภายในประเทศไม่สามารถอยู่รอดได้ด้วยต้นทุนที่สูงกว่า 
ดังนั้น การจะปรับลดAdder ลงมาทางกระทรวงพลังงานควรจะชะลอไว้ก่อน เพื่อให้โอกาสธุรกิจของคนไทยอยู่รอดได้ เพราะผู้ผลิตและติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ของไทยวันนี้ มีโครงการที่จะไปตั้งโซลาร์ฟาร์มในหลายพื้นที่ เพราะด้วยการสนับสนุนAdder จากภาครัฐในอัตราหน่วยละ 8 บาท แต่เมื่อกระทรวงพลังงานมาบอกว่าต้องลดAdder ลง เพราะมีเทคโนโลยีจากจีนทำได้ถูกกว่า ก็จะไปทำให้การตั้งโซลาร์ฟาร์มต้องสะดุดลงไป

กลุ่มทุนจีนเปิด รง.ผลิตแผ่นโซลาร์ส่งออกที่ระยอง

ข่าวร้ายของหุ้นผลิตแผงโซล่า

กลุ่มทุนจีนเปิด รง.ผลิตแผ่นโซลาร์ส่งออกที่ระยอง

ถือเป็นข่าวร้ายของหุ้นผลิตแผงโซล่า ที่จะต้องเจอคู่แข่งระดับโลกจากจีนที่มีทั้งเทคโนโลยี ต้นทุนต่ำ และมีความพร้อมด้านการเงิน

รอดูกันต่อไปนะคะว่าผลกระทบจากเรื่องนี้ จะส่งผลอย่างไรต่อราคาหุ้นที่เกี่ยวข้อง

หุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์ = หุ้นโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ เพราะต้นทุนก่อสร้างจะลดลงและค่าดูแลรักษาถูกลง

หุ้นที่น่าจะเสียประโยชน์ = หุ้นผลิตแผงโซล่า


Click image for larger version

Name: Screen Shot 2016-03-28 at 9.42.43 PM.png
Views: 1
Size: 84.8 กิโลไบต์
ID: 223915


สำหรับนักลงทุน หุ้นบริษัทอะไรก็ตามที่หากต้องแข่งอย่างเสรีแล้วแข่งยาก อยู่ได้ทุกวันนี้เพียงแค่ข้อได้เปรียบจากการกีดกันทางการค้าเส้นบางๆ ก็เหมือนกับชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นได้ค่ะ

Click image for larger version

Name: 559000003302301.JPEG
Views: 1
Size: 77.3 กิโลไบต์
ID: 223916


Click image for larger version

Name: Screen Shot 2016-03-28 at 9.45.04 PM.png
Views: 1
Size: 670.6 กิโลไบต์
ID: 223917



กลุ่มทุนจีนเปิด รง.ผลิตแผ่นโซลาร์ส่งออกที่ระยอง


วันนี้ (28 มี.ค.) ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย Mr.Gao Ji Fan ประธานบริษัท ทรินา โซลาร์ ไซเอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด นายพินิจ จารุสมบัติ ประธานสภาวัฒนธรรมไทย-จีน พล.อ.ณัฐติพล กนกโชติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะคอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) และนายจางเหลย ผู้จัดการใหญ่ธนาคารแบงก์ ออฟ ไชน่า (ประเทศไทย) ได้ร่วมกันตัดริบบิ้นเปิดบริษัท ทรินา โซลาร์ ไซเอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอมตะซิตี้ ตำบลมาบยางพร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง


ดร.วิษณุ กล่าวว่า บริษัท ทรินา โซลาร์ ไซเอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด เป็นผู้ผลิตแผงโซลาร์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน ที่ได้เลือกลงทุนในประเทศไทย โดยบริษัทดังกล่าวมีโรงงานผลิตอยู่ในหลายประเทศ ขณะที่การตั้งโรงงานในนิคมฯ อมตะปลวกแดง ถือเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุด จากปัจจัยดึงดูดที่สำคัญคือ ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการลงทุน และยังเป็นศูนย์กลางด้านการเงิน การส่งออกในอาเซียน


ขณะที่ นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อมตะซิตี้ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันนิคมฯ อมตะซิตี้มีโรงงานกว่า 1,200 โรง และ 99% ของโรงงานในนิคมฯ อมตะ ประสบความสำเร็จจากการมีระบบสาธารณูปโภคที่ครบครัน และมีโรงไฟฟ้า 10 โรงที่มีกำลังผลิตรวม 1,400 เมกกะวัตต์ เพื่อสนับสนุนโรงงานต่างๆ ส่วน บริษัท ทรินา โซลาร์ฯ เป็นโรงงานพลังงานสะอาดที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และยังทำให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 3 ของประเทศที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับพลังงานสะอาดของโลกอีกด้วย


โดยการลงทุนของบริษัทดังกล่าวในประเทศไทยใช้เงินลงทุนจำนวน 100 ล้านเหรียญ แบ่งเป็นเงินกู้จากธนาคารไทยพาณิชย์ 50 ล้านเหรียญ และธนาคารไชน่าอีก 50 ล้านเหรียญ


ที่มา: MGR Online 
28 มีนาคม 2559 16:35 น.

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

Under Armour is on an insane endorsement deal hot-streak - Yahoo Finance

Under Armour is on an insane endorsement deal hot-streak - Yahoo Finance

Everyone on the Internet was talking about Under Armour this week— and the talk was good. 
According to an ESPN report, Under Armour (UA) almost never scored its current star athlete, Golden State Warriors guard Stephen Curry. It got Curry thanks to a nice assist from Nike (NKE), which had the athlete on its roster since 2010 but in 2013 bungled a pitch meeting and lost him forever. In the meeting, a Nike executive mispronounced Curry’s first name (he said “Steph-ON,” but the right way is “STEPH-in”) and a presentation they showed Curry and his father, Dell, had Kevin Durant’s name on it. Nike did not respond to a request for comment.
Signing Steph Curry has been a smash success for Under Armour. Sales of his signature basketball shoe are up 350% since the start of the year, and are higher than sales of any Nike signature shoe except for Jordan. When Under Armour signed him in 2013 it was for $4 million per year—a steal, in retrospect. Last year it extended his deal through 2024, for an undisclosed annual amount, and gave him an equity stake in the company. (Tom Brady’s deal includes one as well.) Curry’s Warriors won the NBA Finals last year, and now look almost certain to do it again. He is having a season unlike anyone else in the NBA. And every game in which he performs magic brings more buzz to Under Armour.
But Curry is just one part of Under Armour’s current hot streak in athlete endorsements. CEO Kevin Plank, who founded the company while he was still a football player at the University of Maryland in 1996, is doing everything right when it comes to sponsorship deals. The company has not only signed the right players, but at precisely (uncannily, even) the right time. And it has then marketed them cleverly after signing them.
Take Jordan Spieth, the No. 1 golfer in the world for the past 26 weeks. Under Armour signed the young Texan in 2013 after he graduated from college and turned pro—likely a small deal, what is often called an “equipment deal,” meaning that the fee is negligible and mostly consists of supplying free apparel and equipment to the athlete. It was a prescient move. At The Masters in 2014, Spieth tied for second. He was only 19. Under Armour quickly reacted: in January 2015 it signed him to a new deal, reportedly worth $20 million a year. It was the right bet: He went on to the win The Masters that year – and the U.S. Open. And he tied for second at the PGA Championship. And he tied for fourth at the British Open. Spieth has drawn comparisons to Tiger Woods in terms of what he could do for the sport of golf—that may be wishful thinking, but Spieth, along with Rory McIlroy (Nike), Jason Day (Adidas) and Rickie Fowler (Puma), is certainly the leader of an exciting group of young stars bringing new eyeballs to golf. And Spieth will aid Under Armour's ambitions of becoming a major golf apparel brand. (Under Armour also sponsors golfer Gary Woodland, and wasn't pleased that the Under Armour name wasn't visible on his underwear when he took his pants off at a recent tournament.)
In addition to Curry and Spieth, Under Armour signed ballerina Misty Copeland in 2014. The value of the contract is not public, but she has said it pays her more than ballet, and she is thought to make around $100,000 a year from ballet. A ballet dancer may seem like a surprising choice for a scrappy apparel company that made its name with a tight undershirt for football players. But Copeland’s fame goes beyond dance: she launched a diversity project to find more black ballerinas; she is the subject of a documentary partially funded on Kickstarter; she wrote a memoir. Her signing made Under Armour look hip.
Under Armour knows what it suddenly has on its hands: a roster of hot young stars all crushing it in their respective sports. And so it rolled out its new ad campaign, “Rule Yourself,” by putting three of them together in one spot that it debuted last summer. Curry, Spieth and Copeland are shown practicing their craft—and practicing, and practicing—sending a message about getting in your reps, and the relentlessness of honing an athletic skill. Then it gave Tom Brady, now its veteran star, his own similar spot.
Separately from what it is doing with the young, newer stars, Under Armour also uses Brady wisely; just when some fans might forget that he’s an Under Armour athlete, it will bring him out again to remind them. And now it is doing the same with swimmer Michael Phelps. The swimmer has been signed with Under Armour since 2010, but for the past few years it hasn’t exactly trumpeted the star—he has been in and out of rehab, and for a period of time showed up in more tabloids than in sports magazines. Now the 18-time gold medalist, who had initially announced his retirement from pro swimming, is back for one more Olympics, training for the Summer Games in Rio. And Under Armour is on the case. This month it debuted a new ad spot with Phelps that sticks to the “Rule Yourself” theme and shows the brutal routine of an Olympic swimmer. The ad is inspiring, and like the others, it cements the brand image of Under Armour as hard-working, gritty, tough.
That brand image may have to step up and replace the long-time notion of Under Armour as underdog. With a market cap of $17 billion, the 20-year-old company is no longer an underdog. It surpassed German giant Adidas as the No. 2 in U.S. sports apparel. Its stock is trading at 50 times earnings. If Plank’s initial aim to “take on Nike” back in 1996 sounded insane at the time, it now looks plausible. Under Armour is still much smaller by revenue, but it is growing at a rapid rate. Its revenue grew 31% last quarter, beating estimates by $50 million. It beat estimates on its earnings per share as well, and raised its revenue forecast for 2015 to $4.95 billion. Nike, by contrast, missed expectations on revenue last quarter. 
In other words, the endorsement-deal hot-streak is no mere marketing tool for Under Armour: it’s working for the company, perhaps even accounting, partially, for the stock performance. Nevertheless, athlete sponsorship is still a risky game. Adidas, for example, went all in on Chicago Bulls player Derrick Rose, signing him to a fat new deal ($260 million over 14 years) in February 2012 just weeks before he got injured in April and missed nearly two full seasons. An injury could bedevil one of Under Armour’s athletes at any time. Or it could simply miss out on the next huge star if Nike or Adidas gets there first. (Or some other brand, even—little-known Japanese clothing brand Uniqlo boasts a head-to-toe deal with men’s tennis world No. 1 Novak Djokovic.) 
But here's one thing it likely won’t do, after the world has learned of Nike’s error: use the wrong name on a presentation when it woos the next potential signee.
--
Daniel Roberts is a writer at Yahoo Finance, covering sports business and technology.

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

Wearable devices Future of New Technology

Forget The iPhone 7. Next Apple Sensation Revealed

Sitting on my wrist is Apple’s newest product – the Apple Watch. 
But if you’re like many Americans, you may be wondering, “What’s the big deal?”… “Am I missing something?”
A Business Insider poll suggests that 51% of people just don’t see the point:
Why aren't you interested in a Smartwatch?
So you won't be surprised to hear that the media sound bite jockeys are falling all over themselves to see who can be more sarcastic and skeptical about it. Calling it:
“Lame,” “Awful,” and even flat-out “Stupid.”
But here’s the thing everyone is missing.
Personally, if he was still alive, I think Steve Jobs would be LAUGHING in the critics’ faces.
Because I believe the Apple Watch available today is just scratching the surface of what Jobs (and his fellow geniuses at Apple) have planned for the future.
You see, the Apple Watch released last April is NOT the design Steve Jobs imagined.
In fact, months before Jobs passed away, Apple filed for a patent on the watch design I think Jobs REALLYwanted Apple to create, a document that I found hiding in plain sight at the United States Patent Office and a document I want to show you today.
Allow me a proper introduction first. I’m Rex Moore, and I’m a reporter for The Motley Fool – one of the largest personal finance websites in the world. 
I’m here today to reveal how I stumbled across what I believe will be the biggest story of my career.
Today, I’ll show you this “hidden” Apple patent and explain why I’m convinced it gives savvy investors a glimpse into the future and at the incredible secret Apple has up its sleeve.
Because once I tell you the whole story, you'll realize there may actually be two ways to potentially grab your share of the mountain of cash that Apple could stand to make on the next generation of products hiding in its pipeline.
The first way is by investing in Apple directly and claiming your share of its dividends and capital gains in the years to come.
So I want to tell you the second way.
According to one of America's top growth stock experts, it could be a much better (and much faster) strategy for adding to your wealth today than a direct investment in Apple would be.
And the history of the computing industry suggests that he may be correct.
To understand this, we need to think back to the spring of 1977…
Computers were rapidly becoming smaller; a machine that once barely squeezed into a warehouse could now fit onto a desk!
And the undisputed king of the mountain was IBM.
But your best investment at the time was a company that didn't even sell computers.
You know this company as Intel.
And of course you also know that Intel supplied one tiny little component for computers…
... a component so sophisticated and so essential to manufacturers like IBM -- along with Compaq, Hewlett-Packard, Dell, and many others -- that every $5,000 invested in Intel stock back then has grown into almost a million today.
Now, there's no doubt who today's computer king is.
Apple has taken computers off our desks… and off our laps... and put them in the palm of our hand, and now on our wrists.
Just like IBM, Apple has put itself in a position to dominate the computer industry for decades.
But as you know, the question shouldn’t be what stock is “today’s IBM?” but rather, which stock is the “the next Intel?” The tiny company every other company NEEDS to makes the real magic happen.
And that’s why I’m talking to you today, I’m convinced, with a little help, I’ve found the “next Intel” and you won’t believe the story that led me here.
To understand this historic opportunity, you need to take a quick trip with me across the street to find out where that mountain of cash may be and how I found Steve Jobs’s REAL vision for the Apple Watch.
Now, most people don't know this, but The Motley Fool's headquarters is located directly down the street from the US Patent Office…
Where every technology company that wants to obtain intellectual property protection for its newest inventions is required to file stacks and stacks of specialized paperwork.
And believe it or not, any American citizen can actually walk right into the patent office and demand to see that paperwork.
You just write your request on an index card, and a friendly federal worker will pull the file.
Of course, hardly anyone actually does this, but you'd be pretty amazed what you can see if you do.
I know I was. For a growth-minded investor, an afternoon at the patent office is the next best thing to an afternoon at Fort Knox.
Or then again, maybe it's better. If you bring a few quarters for the photocopier, you get to take home all the gold.
You see, I got a little curious…
And, yes, maybe a little greedy.
Because I've been hearing some really wild rumors from my contacts in the technology world over the past few weeks and here’s what they all boil down to:
The Apple Watch currently in stores may just be the beginning of Steve Jobs’s REAL vision. The first-inning of a nine-inning game.
You see, Apple has pulled together a team of more than 100 of its best engineers and product designers to work on the future of the Apple Watch. Apple is even hiding away this project team in a top-secret facility offsite from its headquarters in Cupertino, California.
Which means that even Apple's 50,000+ other employees are hearing this story in whispers, too.
For a tech savvy investor these rumors and whispers can be really exciting, after all an Apple product release can be a windfall for investors who know where to invest their money.
Which is exactly why I found myself at the Patent Office that day – to confirm these rumors and discover the BEST way to invest in the vision of Steve Jobs.
That’s why when I finally came across one particular patent document, I realized right away I was on to something big.
I’m about to show you this document. And once I do, I’ll explain what you’re seeing, what it means for Apple, and how it led me what could be the biggest investing trend in decades.
Ready? Here it is.
United States Patent - Wrist-worn Electronic Device and methods Therefor
The first thing you’ll notice is that this image looks nothing like the Apple Watch being sold today, in fact, it doesn’t really look like a watch at all.
There is no face to tell the time or any sign of a screen… anywhere. Instead it looks more like a wristband than any watch that I have seen.
Honestly, I was confused. On one hand, I expected to find a watch design similar to the current one. On the other hand, what if I had just scored a sneak peek at Apple’s next game-changer?
I needed answers. Luckily, I knew right where to go.
So, after I made my photocopies of the document I had just seen, I ran back The Motley Fool’s headquarters and marched straight to the office of my boss, David Gardner.
David is one of the founders of The Motley Fool. I’ve worked with David for 16 years and I've seen The Motley Fool grow from "the little investing website that could" into a financial powerhouse that includes a widely syndicated newspaper column, a popular radio show, and a series of bestselling books.
I've also seen David Gardner and his band of investing Fools pop up everywhere from CNBC, to Larry King Live, to Dr. Phil.
I've seen the Economist call us "an ethical oasis," and Time magazine reveal that "even billionaires get their ideas from The Motley Fool."
After all, David Gardner is the rule-breaking technology investor who first became famous for revealing … in public, right on the Motley Fool’s website on August 5, 1994 … that he was putting money into an innovative new company called AOL for just 44 cents a share.
In the years that followed, that split-adjusted position climbed all the way up to $89.18 per share. That's a staggering increase of more than 20,000%.
But David doesn't like to rest on his laurels, which is why he actually sold a portion of that skyrocketing AOL position to fund his stake in another upstart called Amazon.com back in 1997.
We just had a little party at the office to celebrate that investment going up more than 150x from a split-adjusted $3.24 all the way to $500 and beyond.
That's why I say, show me another investor anywhere who has more experience in leading forward-thinking investors, like you and me, to huge gains on technology stocks.
If anyone would understand what I had just seen and find the best way to profit off of it, it’s probably David Gardner.
So you can see why I was so excited to proudly march into David’s office and show him what I had just seen.
But here’s the kicker, when I laid my photocopy of the patent document on David’s desk, he just shook his head and laughed.
You see, as he explained, David had already seen this document – years ago, in fact!
Not only had David known about this “hidden” patent, but it had already helped him find what he believes could be the “next Intel-like” stock to help investors by riding a massive, new technological trend.
Surprised (and a little embarrassed) to hear this news, I asked David, “Is this really a big deal? Are people going to get excited over a device that just looksdifferent?”
That’s when David explained something to me I had never thought of before.
He said, look, when it comes to Apple, they change the way their products look every 6 to 8 months…
Remember the original iPod released in 2001? It was a clunky device by today’s standards and looked like this…Sure it gave you, “1,000 songs in your pocket” but over the course of the next 9 years iPods began shrinking and changing shapes.
Apple devices constantly change shape
The first iPhone released in 2007 looks nothing like the iPhone of today… they have become thinner, lighter weight, have larger screens and now don’t just come in 1 or 2 colors but a wide range of choices.
But people don’t buy new Apple products for the LOOK, they want the new functionality, access to new apps and the ability to do more with their devices.
If the look or shape of a new Apple product were the only difference then I bet they would sell a hell of a lot less and quite frankly would not be the company they are today.
The REAL reason most people buy new Apple products or any other phone or device is that it does more of what they want, it in some way makes their lives easier and less complicated.
After all who doesn’t want their life to be less complicated, simpler and well less stressful? We are all human after all and the best inventions and innovations were born out of a dream to make life better… at least the innovations that made the REALLY big money and lined the pockets of forward thinking investors with piles of cash.
You see, David had already poured hours of research into understanding new technologies like this. He walked me through everything.
The market for smartwatches is a bustling one, with a wide array of options including the Samsung Gear Sand Android-based models including the LG G Watch R and the Motorola Moto 360.
But smart WATCHES are only a portion of a much larger market. A market is that is about to take the world by storm.
David Gardner refers to this larger market as “wearable technology devices.”
A leading market intelligence firm called ABI Research forecasted that by 2018, major technology companies will be selling 485 million of these new devices per year.
But only if companies like Apple, Samsung, Sony, Google and Microsoft can overcome some of the barriers that they face with these devices today… including small screen size, clunky style, limited battery life, and they must become standalone computing devices with more robust functionality.
And more robust functionality is the key here… in order for consumers to truly embrace any smartwatch or wearable device they need to see HOW they will benefit from owning one… in short what can this device do for me.
So the big question now is not what the next Apple Watch or any of its competitors will look like but what will they be able to do and how will they be able to make our lives easier?
David went on to describe a prototype device so powerful it would change the way we live.
A single “wearable” device that starts your car, opens your door, pays your groceries, and even tells you how many calories you’ve eaten in a day!
A single device that makes your world… smart.. and easy.
Now look, my first reaction when David described this to me was:
“You’ve gotta be kidding me? This just sounds like some future world out of The Jetsons. I won’t see that in mylifetime.”
Well, that’s when David stopped me in my tracks. He opened the drawer of this desk, took something out, and slid it across his desk to me.
He then told me what he just described is NOT some dream-world gadget but that it already existed and I was holding the “working prototype” for what Steve Jobs envisioned for the future of not just Apple – but the multi-billion dollar wearable market.
He explained the next evolution of the smartwatch and wearable market is not taking place at Apple headquarters but is actually happening a long drive down I-5 in Anaheim.
In of all places… Disneyland.
It was here in 2008 that an adventure began to discover a way to reduce the stress and hassles people felt when visiting THE amusement park…. in a non-descript lab nestled next to the Toy Story Midway Mania ride.
You see, like Steve Jobs, Walt Disney was a dreamer who wanted people to not only see the future but immerse themselves in the world of tomorrow.
Which is what led a small team of engineers at Disney to build… The MagicBand – the gadget David had taken out of his drawer.
If you’ve taken your family or grand kids to Disney lately you might have purchased one of these…
The MagicBand is a wristband of sorts that has the capability to create a personalized experience when you visit one of the Disney theme parks.
MagicBand
As you can see, it looks like a simple rubber wristband or a long watchband with no face.
So what can a MagicBand do, well:
  • Imagine ordering food from your favorite Disney restaurant before you leave your hotel room, you walk into the restaurant, sit down anywhere, and magically a server delivers your exact order to your table. How? Because Disney knows who you are, where you are sitting, and what you ordered.
  • Or how about never having to wait in line, effortless riding all the rides you wanted with the least amount of walking from one ride to another.
  • It even makes your travel easier - once your flight arrives at Orlando you can board a park-bound shuttle and your luggage will just arrive at your room in your hotel.
  • In the park there are no tickets or turnstiles for that matter. The MagicBand is your ticket and with the wave of your wrist you can ride any ride you want.
  • No need to carry money, everything is charged through the credit card linked to your MagicBand.
  • No need to carry hotel keys… your MagicBand is all you need.
  • Even photos taken in the park will show up instantly on your cell phone.
What is so amazing about the MagicBand is that it is not remarkable looking at all yet it connects you to a vast and powerful system of sensors within the park that makes your experience well magical…
So what does this, the MagicBand, have to do with Steve Jobs’s vision for the future of smartwatches and wearable devices?
Well, most people don’t know this, but Steve Jobs was on Disney’s board of directors and the company’s largestshareholder. Needless to say, Jobs believed in the magic happening at Disney.
Plus, he had a front-row seat for the development of this amazing device.
And as David explained to me, this wasn’t the first time Jobs stuck his way in to see a glimpse of future technology:
Back in December 1979, in one of the biggest gambles in business history, Steve Jobs gladly gave away 100,000 shares of pre-IPO Apple stock.
Total value: $1 million.
Actually, Jobs was giving away far more than a million dollars...
Nonetheless... he knew he was getting the steal of a lifetime.
See, Apple's highly-anticipated IPO was just months away.
And everyone — Jobs included — knew that 100,000 shares of Apple stock would soon be worth WAY more than $1 million.
In fact, when Apple did IPO just a few months later, that $1 million investment from Jobs was already worth more than $22 million!
Today... it's worth more than half a billion!
(Around $638 million, to be exact)
Still, Jobs forked over this fortune without a second thought.
Apple's future depended on it.
Because with that king's ransom, Jobs bought himself three days of unrestricted access to a fabled Silicon Valley technology facility...
And to the secretive technologist who ran it. Considered by many to be the smartest man in the world.
This man was Dr. Mark Weiser — the chief technologist of Xerox's Palo Alto Research Center.
The innovation coming out of Weiser's shop was light-years ahead of the competition. Which is why Jobs was willing to pay so dearly to get a glimpse behind the curtain.
Yet as valuable as Weiser's insights would prove to be to Jobs...
Creating hundreds of billions of dollars for Apple in the years and decades that followed...
See, Weiser once said...
"The most profound technologies are those that disappear. They weave themselves into the fabric of everyday life until they are indistinguishable from it."
He imagined a world in which everything around us...
...our belongings, our homes, our streets, our cars, everything...
...were all seamlessly and invisibly integrated.
Sounds exactly like the MagicBand, right?  
This is why David is convinced we’re on the cusp of an explosion when it comes to the “wearable” market. And why he’s recently doubled-down on the stock of one company at the center of it all.
To understand why David is so bullish on this trend, you need to understand the technology that makes the devices like the MagicBand possible and how you as an investor can position yourself to profit from the primary company that makes it a reality.
You see Disney is just the testing ground for technologies that could soon create the ultimate in a “wearable” world… imagine the power of the MagicBand technology imbedded in an Apple Watch where your personal preferences open up a world of conveniences like: starting your car with just a wave of your wrist, or opening your front door with the wave of your hand or walking into your house and the thermostat automatically adjusts the temperature to your exact liking.
It would seem… well magical.
If you think about the major ways Apple has transformed our lives, you’ll notice it doesn’t invent new devices or technologies.
Instead, it takes an existing idea, waits until it’s absolutely certain the world is going mad for it… and then… perfects it.
BlackBerries, Palms, and other smartphones were common long before the first iPhone.
Tablets existed well before Steve Jobs introduced the first iPad in 2010.
And I’m sure you can probably remember being impressed by those early mp3 players with the whopping 12-song capacity… Before the iPod came along and put “a thousand songs in your pocket.”
So Apple can be your very own investing crystal ball.
Look closely and I think it will tell you – with an excellent track record – what the next big trend will be.
And then lead you straight to the investment that could build you a fortune off it.
Which is why if you’re looking to add a few zeros to your portfolio, your blood should be pumping pretty fast right about now.
Think about it… why was Steve Jobs so interested in the technology experiments going on at Disney? Why would Apple file a design patent that looks SO different than the watch it has on the market? Is it ever a good idea to bet against Apple??
These were questions I needed answer too. David told me if I wanted to find the next Intel-like stock, I need to look on the inside and understand the underlying technology.
So that’s what I did… by cutting one of these MagicBands open to see what secret potion or pixy dust could be found inside… the way I see it I owed it to myself and every other investor looking to profit from the smartwatch and wearables revolution.
What I discovered was nothing short of amazing….
Once you successfully get the magic band open..
As you can see from this picture of my destructive curiosity… once you successfully get the magic band open (which is no easy task and took me quite a while to pry open) you can see a number of antennas, this RFID chip and a number of radio like sensors that can send and receive information from various distances called “touchless Near Field Communications” technology or touchless NFC for short.
As David would go on to explain, this NFC technology is the star of the show.
Why?
Because remember, it is not about what the Apple Watch or future wearable devices look like it is what they enable us as users to do… the magic is in the functionality.
For the MagicBand, the magic is that it enables visitors to the Disney theme parks to forget about all the hassles of visiting a theme park… no room keys, no tickets, no wallet and no lines.
Relying heavily on touchless NFC, you are “connected” to the park through the thousands of sensors that are constantly sending and receiving information to and from your MagicBand.
An experience is created that is all about you, without all the hassles. And every visitor that goes to the park is going to have a different experience based on what they want out of their visit.
The question is not whether NFC technology will become the focal point for wearable devices… but when and just how big?
And Avi Greengart, a technology product expert for another top research firm, Current Analysis, Inc., says we're now standing at the tipping point of this historic market shift.
Remember, ABI forecasts that by 2018, major technology companies will be selling 485 million of these new devices per year.
So you can bet tech giants like Apple, Google, Samsung, Sony, Microsoft, and our old friends at Intel are all slamming on the accelerator pedal and shoveling billions of dollars into research and development to make the dream of a NFC-focused world possible.
Because, make no mistake, this isn't just some Silicon Valley pipe dream and it isn’t a fairy tale. This is a high stakes race.
Now I can't say for certain how long Apple will be the king of computing, and I can't say for certain all the things that the next Apple Watch and its competitors will be able to do.
Fortunately, I don't have to. Because as David described it to me, all of these tech giants are in a bit of a pickle – Apple included.
Right now, they all need to incorporate NFC technology into their devices to connect to the larger world. Despite all the lab-coated brainiacs, engineers, and other geniuses roaming the halls there, Apple doesn’t have the specialized skills, exclusive patents, or state-of-the-art machinery necessary to build NFC into its devices.
So it must hire a company that does.  And that’s not cheap.
And there’s one company with a herculean stranglehold on the NFC market – over 60% market share.
In addition to finding their technology in the MagicBand I opened up, this company is already the supplier of NFC technology for Apple, Google, Nokia, NTC, and Samsung.
With an incredible 231 patentsguarding its priceless intellectual capital, this company has been able to build a near-monopoly as the supplier-of-choice for these tech giants.
And as a crucial supplier to all of these companies, this company gets paid for every NFC-chip that’s placed in devices. Think of it as a “toll” Apple and its competitors must pay for this technology.
So you can imagine as the market for wearable devices explodes, this small company (it’s 1/30th the size of Apple) could see its profits soar.
I don’t need to tell you what that can do to a company’s stock price.
But of course, David Gardner had known this for years – first recommended investors grab shares of this NFC-powerhouse over 4 years ago. Those who listened to David have doubled their investment!
But what’s more exciting is David believes this company is STILL a very compelling buy for investors today because of the explosion Apple’s Watch just ignited. In fact, David has doubled down on this stock!
I can’t say I’m surprised. After all he's been breaking the rules of Wall Street for years.
Here's how David describes his investing philosophy...
David G
"The one thing we all have in common is a dedication to identifying, understanding and growing wealthy together investing in these comapnies industries and technologies that are changing the world."
So how about we get down to business?
And discuss the best way to get this stock NOW.
Thanks for reading today. I hope the information I've provided so far has been helpful to you.
And sorry for being so long-winded…
…but the truth is, the circumstances behind this history-making investment opportunity are fairly complex.
Which works to your advantage…
While many analysts are drooling over the cash Apple is raking in on these new products, they are missing the real story – which we believe is the chance for investors to potentially profit even more by buying shares of this company that’s less than 1/30th the size of Apple.
That's why I want to hurry up at this point… and show you a special opportunity from The Motley Fool.
This offer allows you to request your very own copy of our new investor action guide:
3 Stocks for the Wearable Computing Revolution
David just put the finishing touches on this report. Inside, he reveals why he thinks this NFC-powerhouse company is so well-positioned that it doesn't even NEED Apple's business in order to be wildly successful. PLUS, David reveals 2 more stocks he believes could benefit when this technology takes off.
You deserve to get the full story about these companies…
So you can decide for yourself whether it's the right time to take advantage of the historic investing opportunity that David has identified.
This guide is officially valued at $29.
It's by joining Motley Fool Rule Breakerstoday, through this personal invitation…
With NO obligation whatsoever.
That's right:
I want to give you the chance to profit not only from David's #1 "early bird" pick for the dawn of the wearable computing revolution.
But also from every other recommendation that he's ever made.
And I want you to discover for yourself everything that Rule Breakers has to offer -- without having to risk even one dollar of your membership fee.     
You see, at Motley Fool Rule Breakers, David stands behind every piece of advice, insight, and recommendation he makes, with 100% confidence.       
So you can decide for yourself whether it's the right time to take advantage of the historic investing opportunity that David has identified.       
Your complete satisfaction is guaranteed — or your membership fee back!
So David wants you to go ahead and take a FULL 30 DAYS to have a good look at every breakout company we've uncovered.
And then, if for any reason you're not totally thrilled…
…just tell David’s customer service team to send your money back.
Up to the last day of your first month, they'll promptly refund every penny of your membership fee, NO QUESTIONS ASKED.
But I'm pretty sure that once you get a closer look at what David’s cutting-edge investment team is up to, you'll want to stick around and get all the upcoming Rule Breakersrecommendations…
  • Baidu - Up 2,066%
  • Chipotle - Up 682%
  • Intuitive Surgical - Up 1,173%
  • IPG Photonics - Up 343%
  • MercadoLibre - Up 704%                     
  • Vertex Pharmaceuticals - Up 689%
Believe me, the full list of Rule Breakerswinners is even longer.
But I've already kept you long enough.
And I know that you need time to think about this investment for yourself, instead of just basing your decision on what I've been able to tell you here…
That's why I hope you'll take me up on this offer to get the full story on the wearable computing stock we've discussed in this report, directly from David Gardner…
So remember, when you accept my personal invitation and agree to sample everything Motley Fool Rule Breakershas to offer without obligation today,
I'll send your exclusive copy of our "3 Stocks for the Wearable Computing Revolution" action guide — with my compliments!
Normally, you can gain access to every top recommendation on the Motley Fool Rule Breakers scorecard plus get all David’s updates and reports, plus access to the members-only website that archives everything covered by Rule Breakers…for the regular membership rate of $299 per year.
Given the kinds of returns I've showed you today, I'm sure you'll agree that's a bargain in itself.
But, because David wants to make absolutely sure you don't miss out on your unique chance to profit from this historical advance in computer technology
He's given me the green light to offer you an even better deal.
One that allows you to sample everything I've told you about today, for 30 full days…
…and then lock in the absolute lowest price I can offer you today. Full details are on the next page!
And if you join us right now, I'll also get a front-row seat to one of Rule Breakers’s biggest events!
See, out of the more than 150 active recommendations inside of Rule Breakers, David just issued an alert highlighting the 5 stocks his team thinks are where members should be putting their money today!
Quite simply: It’s a buy signal I think you don’t want to miss.
I recently stopped David’s desk to talk about his recently released best buys.
He clued me into all the details.
And let me tell you... I think you're going to be blown away.
But obviously, I can't outright promise that the stocks David just announced will soar as high as past recommendations but chances are pretty good you’ll uncover winners inside Rule Breakers like:
  • Salesforce.com - Up 940%
  • Monster Beverage - Up 692%
  • Under Armour - Up 709%
When you consider David’s track record, I think it's safe to you do not want to miss these 5 “best buys now.”
Plus, as a thank you for reading my report today, I'll even throw in one MORE fast-action bonus gift.
The final report you receive today is called "3 Hot Stocks to Buy in 2016".
Inside you’ll discover 3 stocks we believe are like sticks of dynamite with lit fuses…
See: Motley Fool Chief Investment Officer Andy Cross just released this short-list of 3 stocks.  He’s convinced these three companies are poised to blast off in 2016… and beyond.
Andy’s not the only one.
Co-Founders Tom and David Gardner have also urged investors to scoop up shares of these stocks.
2016 could be your best investing year ever… don’t risk waiting one minute too long to grab this time-sensitive report.
Add it up and your free guides and discounts are worth hundreds of dollars.
Remember, we think it’s never a good idea to bet against Apple.          
But we believe there may be a better way for betting for them banking huge profits for the next phase of the wearables revolution.
But we believe your BEST move right now to create Intel-like returns (and join my boss David Gardner in the "10,000% profit club") is buying stock in this forward thinking NFC-supply lab today. 
That's why I urge you to get our brand-new report right now.
And if that's not enough reasons to hurry, here's one more.
This Rule Breakers mega-bundle offer could be pulled off the table as soon as tomorrow.
There's really no way to be sure, because it all depends on how many investors respond today…
So I can only guarantee everything I've offered you today if you join us RIGHT NOW THROUGH THIS OFFER.
Please don't risk missing out.
Just click the "Start Now" button below to join us…
… and begin your path to positioning yourself for  a lifetime of wealth for yourself and your family today!
Rex Moore Signature
Rex Moore Reporter, The Motley Fool
Returns updated daily during business hours unless otherwise specified. The performance data quoted represents past performance and does not guarantee future results. Suzanne Frey, an executive at Alphabet, is a member of The Motley Fool’s board of directors. David Gardner owns shares of Alphabet (A shares), Alphabet (C shares), Apple, Baidu, Chipotle Mexican Grill, Intuitive Surgical, IPG Photonics, MercadoLibre, Under Armour, and Walt Disney. Rex Moore owns shares of Alphabet (A shares), Alphabet (C shares), and Microsoft. The Motley Fool owns shares of Alphabet (A shares), Alphabet (C shares), Apple, Baidu, Chipotle Mexican Grill, Intuitive Surgical, IPG Photonics, MercadoLibre, Monster Beverage, Under Armour, and Walt Disney.
© 1995- 2016 The Motley Fool. All rights reserved. | Legal Information