ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: JASลุยซื้อหุ้นคืน25มิ.ย.นี้
งบQ2กำไรนิวไฮ918ล้าน
ลุ้นราคาวิ่งทะยาน แนะซื้อเป้า 11.20 บาท
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2557
ผู้เข้าชม : 90 คน
"JAS" จุดพลุ 25 มิ.ย.นี้ เริ่มตะลุยซื้อหุ้นคืน โบรกฯชี้ช่วง 6 เดือนที่ซื้อหุ้นคืนราคาหุ้นวิ่งขึ้น กรณีอิงราคาซื้อเฉลี่ย 8.08 บาท คาดมีหุ้นซื้อคืน 124 ล้านหุ้น ดันกำไรต่อหุ้นเพิ่ม 2% ขณะงบ Q2/57 คาดกำไรทำนิวไฮ 918 ล้านบาท เชียร์ "ซื้อ" เป้า 11.20 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพุธที่ 25 มิ.ย. 2557 นี้ บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS จะเริ่มซื้อหุ้นตามที่ได้ประกาศไว้ว่าจะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นชำระแล้ว หรือไม่เกินจำนวน 713,739,437 หุ้น โดยมีวงเงินสูงสุดที่จะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท กำหนดระยะเวลา 6 เดือนนั้น นักวิเคราะห์ประเมินว่า ในช่วงที่มีการซื้อหุ้นคืนน่าจะทำให้ราคาหุ้นของ JAS มีการซื้อขายคึกคัก และราคาหุ้นน่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นด้วย
บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด จำกัด ระบุว่า จากข้อมูล JAS มีการซื้อหุ้นคืนแล้ว 4 ครั้ง (2550-2554) พบว่าช่วงการซื้อหุ้นคืน 2 ครั้งหลัง (ปลายปี 2553 และปลายปี 2554-2555) ราคาหุ้น JAS ปรับขึ้นสูงกว่าราคาซื้อหุ้นคืนเฉลี่ยราว 5% ดังนั้นเชื่อว่าในช่วงซื้อหุ้นคืนครั้งนี้จะส่งผลบวกเชิงจิตวิทยาต่อราคาหุ้น JAS กรณีอิงสมมติฐานราคาซื้อหุ้นคืนเฉลี่ย 8.08 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะมีจำนวนหุ้นซื้อคืนราว 124 ล้านหุ้น และเป็นบวกต่อกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 2% จากประมาณการปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน คาดว่าธุรกิจปกติของ JAS ในช่วงไตรมาส 2/57 (ไม่รวมผลอัตราแลกเปลี่ยน) จะมีกำไร 918 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาส 2/56 และเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นตามลูกค้า Broadband Internet โดยเฉลี่ย 2 หมื่นรายต่อเดือน และมีจำนวนลูกค้า 1.52 ล้านราย ณ สิ้นเดือนพ.ค. 2557
ดังนั้นคาดว่าในไตรมาส 2/57 ลูกค้ารวมเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาส 2/56 และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อนเป็น 1.54 ล้านราย เป็นลูกค้า FTTX จำนวน 2.6 หมื่นราย หรือมีสัดส่วนลูกค้า FTTX เพิ่มเป็น 1.7% จาก 1.4% ในไตรมาส 1/57 และคาดว่า ARPU ใกล้เคียงไตรมาส 1/57 ที่ 635 บาทต่อเดือน นอกจากนี้แม้บริษัทจะขยายโครงข่ายต่อเนื่องในต่างจังหวัดและมีค่าเสื่อมราคาสูงขึ้น แต่คาดว่าจะเห็นผลบวกจากการประหยัดต้นทุนต่อหน่วยจากฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ที่ 60.6% และ EBITDA margin 53%
นอกจากนี้ ปัจจุบันร่างชี้ชวนฯ IFF ของ JAS อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของก.ล.ต. มองว่า JAS ไม่เสียโอกาสจากความล่าช้าในการออก IFF ครั้งนี้ เนื่องจากความไม่สงบทางการเมืองช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา และการเข้ายึดอำนาจของ คสช.เมื่อ 22 พ.ค. 57 ที่ผ่านมา อาจกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศและเป็นอุปสรรคต่อการเสนอขายกองทุนฯ
ประกอบกับ JAS มีฐานะการเงินที่ดีอยู่แล้ว เห็นได้จากผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/57 มีอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E) เพียง 0.04 เท่า มีเงินสด 3,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากปี 2556 และกำไรสะสม 7,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2556 ทำให้ไม่มีความเสี่ยงการเงินและสภาพคล่อง ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าเหมาะสม 11.20 บาท
ก่อนหน้านี้นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JAS เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 57 ที่ผ่านมา ได้พิจารณาอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน โดยมีจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 10% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 7,137,394,378 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 713,739,437 หุ้น โดยมีวงเงินสูงสุดที่จะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และการซื้อหุ้นคืนจะซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งบริษัทจะซื้อหุ้นคืนภายในระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย. 57
ทั้งนี้ การซื้อหุ้นคืนจะไม่กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทมีเงินกู้และดอกเบี้ยที่จะถึงกำหนดชำระในช่วง 6 เดือน หรือตั้งแต่เดือนมิ.ย.-ธ.ค. 57 ประมาณ 47.68 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีเงินสดคงเหลือปัจจุบันประมาณ 400 ล้านบาท และกลุ่มบริษัทมีเงินสดคงเหลือประมาณ 2,810 ล้านบาท ดังนั้นหากประเมินจากเงินสดคงเหลือ ณ ปัจจุบัน ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของกระแสเงินสดรับจากบริษัทย่อย (ในรูปเงินปันผล) บริษัทยังคงมีสภาพคล่องเพียงพอในการชำระหนี้ที่จะถึงกำหนดดังกล่าว
สำหรับเหตุผลในการซื้อหุ้นคืนนั้น เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่ออัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) รวมถึงการเพิ่มอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) อีกทั้งเป็นการส่งสัญญาณแก่ผู้ลงทุนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท
ขณะที่ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นภายหลังการซื้อหุ้นคืน จะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงขึ้นหากมีการจ่ายเงินปันผล เนื่องจากหุ้นที่ซื้อคืนจะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล รวมทั้ง ROE และ EPS จะเพิ่มสูงขึ้น ส่วนผลกระทบต่อบริษัทภายหลังการซื้อหุ้นคืน ส่งผลให้เงินสดของบริษัทและส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อมั่นว่าการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับสถานะการเงินของบริษัท ซึ่งจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท
งบQ2กำไรนิวไฮ918ล้าน
ลุ้นราคาวิ่งทะยาน แนะซื้อเป้า 11.20 บาท
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน 2557
ผู้เข้าชม : 90 คน
"JAS" จุดพลุ 25 มิ.ย.นี้ เริ่มตะลุยซื้อหุ้นคืน โบรกฯชี้ช่วง 6 เดือนที่ซื้อหุ้นคืนราคาหุ้นวิ่งขึ้น กรณีอิงราคาซื้อเฉลี่ย 8.08 บาท คาดมีหุ้นซื้อคืน 124 ล้านหุ้น ดันกำไรต่อหุ้นเพิ่ม 2% ขณะงบ Q2/57 คาดกำไรทำนิวไฮ 918 ล้านบาท เชียร์ "ซื้อ" เป้า 11.20 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพุธที่ 25 มิ.ย. 2557 นี้ บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS จะเริ่มซื้อหุ้นตามที่ได้ประกาศไว้ว่าจะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นชำระแล้ว หรือไม่เกินจำนวน 713,739,437 หุ้น โดยมีวงเงินสูงสุดที่จะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท กำหนดระยะเวลา 6 เดือนนั้น นักวิเคราะห์ประเมินว่า ในช่วงที่มีการซื้อหุ้นคืนน่าจะทำให้ราคาหุ้นของ JAS มีการซื้อขายคึกคัก และราคาหุ้นน่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นด้วย
บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด จำกัด ระบุว่า จากข้อมูล JAS มีการซื้อหุ้นคืนแล้ว 4 ครั้ง (2550-2554) พบว่าช่วงการซื้อหุ้นคืน 2 ครั้งหลัง (ปลายปี 2553 และปลายปี 2554-2555) ราคาหุ้น JAS ปรับขึ้นสูงกว่าราคาซื้อหุ้นคืนเฉลี่ยราว 5% ดังนั้นเชื่อว่าในช่วงซื้อหุ้นคืนครั้งนี้จะส่งผลบวกเชิงจิตวิทยาต่อราคาหุ้น JAS กรณีอิงสมมติฐานราคาซื้อหุ้นคืนเฉลี่ย 8.08 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะมีจำนวนหุ้นซื้อคืนราว 124 ล้านหุ้น และเป็นบวกต่อกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 2% จากประมาณการปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน คาดว่าธุรกิจปกติของ JAS ในช่วงไตรมาส 2/57 (ไม่รวมผลอัตราแลกเปลี่ยน) จะมีกำไร 918 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาส 2/56 และเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นตามลูกค้า Broadband Internet โดยเฉลี่ย 2 หมื่นรายต่อเดือน และมีจำนวนลูกค้า 1.52 ล้านราย ณ สิ้นเดือนพ.ค. 2557
ดังนั้นคาดว่าในไตรมาส 2/57 ลูกค้ารวมเพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาส 2/56 และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อนเป็น 1.54 ล้านราย เป็นลูกค้า FTTX จำนวน 2.6 หมื่นราย หรือมีสัดส่วนลูกค้า FTTX เพิ่มเป็น 1.7% จาก 1.4% ในไตรมาส 1/57 และคาดว่า ARPU ใกล้เคียงไตรมาส 1/57 ที่ 635 บาทต่อเดือน นอกจากนี้แม้บริษัทจะขยายโครงข่ายต่อเนื่องในต่างจังหวัดและมีค่าเสื่อมราคาสูงขึ้น แต่คาดว่าจะเห็นผลบวกจากการประหยัดต้นทุนต่อหน่วยจากฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross margin) ที่ 60.6% และ EBITDA margin 53%
นอกจากนี้ ปัจจุบันร่างชี้ชวนฯ IFF ของ JAS อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของก.ล.ต. มองว่า JAS ไม่เสียโอกาสจากความล่าช้าในการออก IFF ครั้งนี้ เนื่องจากความไม่สงบทางการเมืองช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา และการเข้ายึดอำนาจของ คสช.เมื่อ 22 พ.ค. 57 ที่ผ่านมา อาจกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศและเป็นอุปสรรคต่อการเสนอขายกองทุนฯ
ประกอบกับ JAS มีฐานะการเงินที่ดีอยู่แล้ว เห็นได้จากผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/57 มีอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E) เพียง 0.04 เท่า มีเงินสด 3,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากปี 2556 และกำไรสะสม 7,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2556 ทำให้ไม่มีความเสี่ยงการเงินและสภาพคล่อง ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” มูลค่าเหมาะสม 11.20 บาท
ก่อนหน้านี้นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JAS เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 57 ที่ผ่านมา ได้พิจารณาอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน โดยมีจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 10% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด 7,137,394,378 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 713,739,437 หุ้น โดยมีวงเงินสูงสุดที่จะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และการซื้อหุ้นคืนจะซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งบริษัทจะซื้อหุ้นคืนภายในระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย. 57
ทั้งนี้ การซื้อหุ้นคืนจะไม่กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทมีเงินกู้และดอกเบี้ยที่จะถึงกำหนดชำระในช่วง 6 เดือน หรือตั้งแต่เดือนมิ.ย.-ธ.ค. 57 ประมาณ 47.68 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีเงินสดคงเหลือปัจจุบันประมาณ 400 ล้านบาท และกลุ่มบริษัทมีเงินสดคงเหลือประมาณ 2,810 ล้านบาท ดังนั้นหากประเมินจากเงินสดคงเหลือ ณ ปัจจุบัน ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของกระแสเงินสดรับจากบริษัทย่อย (ในรูปเงินปันผล) บริษัทยังคงมีสภาพคล่องเพียงพอในการชำระหนี้ที่จะถึงกำหนดดังกล่าว
สำหรับเหตุผลในการซื้อหุ้นคืนนั้น เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่ออัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) รวมถึงการเพิ่มอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) อีกทั้งเป็นการส่งสัญญาณแก่ผู้ลงทุนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท
ขณะที่ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นภายหลังการซื้อหุ้นคืน จะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงขึ้นหากมีการจ่ายเงินปันผล เนื่องจากหุ้นที่ซื้อคืนจะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล รวมทั้ง ROE และ EPS จะเพิ่มสูงขึ้น ส่วนผลกระทบต่อบริษัทภายหลังการซื้อหุ้นคืน ส่งผลให้เงินสดของบริษัทและส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อมั่นว่าการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับสถานะการเงินของบริษัท ซึ่งจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท
posted from Bloggeroid
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น