วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

โซนี่คาดขาดทุนห้าหมื่นล้านเยน ปลดนักบินสายการบินแควนตัส

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ข่าวสั้น

ต่างประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2557
ผู้เข้าชม : 18 คน
โซนี่คาดขาดทุนห้าหมื่นล้านเยน

โตเกียว - โซนี่ คอร์ป คาดว่าจะขาดทุนสุทธิ 50,000 ล้านเยนในปีการเงิน 2557-58 ซึ่งถือเป็นการขาดทุนเป็นปีที่ 6 ในรอบ 7 ปี บริษัทมีแผนในการออกมาตรการปรับโครงสร้างเพิ่ม ซึ่งรวมถึงการปรับโครงสร้างในธุรกิจพีซีที่กำลังขาดทุนอยู่ ทั้งนี้คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็น 140,000 ล้านดอลลาร์ ประมาณการนี้ต่ำกว่า 227,000 ล้านเยนซึ่งนักวิเคราะห์ 20 คนที่ทอมสัน รอยเตอร์ส สตาร์ ไมน์ ได้สอบถามมาคาดการณ์ไว้โดยเฉลี่ย ทั้งนี้ โซนี่ขาดทุนสุทธิ 128,400 ล้านเยนในปีการเงิน 2556/57 ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม ตัวเลขนี้สอดคล้องกับ 130,000 ล้านเยนซึ่งโซนี่ได้คาดการณ์ไว้เอง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม โซนี่ได้ออกแถลงการณ์เตือนเป็นครั้งที่สามสำหรับปีการเงินนี้และได้ลดแนวโน้มลงเหลือหนึ่งในสิบของประมาณการในตอนแรก บริษัทจะใช้เงิน 135,000 ล้านเยนเพื่อปรับโครงสร้างในปีการเงินนี้ เทียบกับที่ใช้เงิน 177,400 ล้านเยนในปีการเงินก่อนหน้า คาซูโอะ ฮิราอิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโซนี่ได้ประกาศเมื่อเข้ารับตำแหน่งในช่วงสองปีก่อนหน้านี้ว่า จะทำให้ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์มีกำไร แต่การขาดทุนอย่างต่อเนื่องของแผนกนี้ได้สร้างความผิดหวังให้แก่นักลงทุนและทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับพานาโซนิคและชาร์ป ซึ่งธุรกิจคอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ได้ฟื้นตัวจากการขาดทุนอย่างหนัก



ต่างชาติไม่พอใจระเบียบลงทุนอินโด

จาการ์ตา - ผู้บริหารบริษัทและกลุ่มล็อบบี้ธุรกิจกล่าวว่า ระเบียบการลงทุนของต่างชาติที่ออกมาใหม่ของอินโดนีเซียอาจยับยั้งพวกเขาจากการลงทุนในภาคพลังงาน เกษตร ค้าปลีก และภาคอื่นๆ มากกว่าที่จะดึงดูดนักลงทุนใหม่ๆ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อค่าเงินรูเปีย อินโดนีเซีย อ่อนตัวลงและมีความวิตกอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเศรษฐกิจอินโดนีเซีย รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศว่าจะเปลี่ยนแปลงระเบียบในการลงทุนเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น และได้ใช้เวลาเกือบ 9 เดือนจึงจะมีการเปิดเผยบัญชีของภาคที่มีการจำกัดการลงทุน เมื่อคณะกรรมการประสานงานด้านการลงทุนประกาศเปลี่ยนแปลงรายการใหม่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีปฏิกิริยาในทางลบเป็นส่วนใหญ่



แควนตัสปลดนักบินรอบ 40 ปี

ซิดนีย์ - แควนตัสจะปลดนักบินหลายสิบคนเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี เพื่อหาทางลดต้นทุนเพื่อควบคุมการขาดทุนโดยมีรายงานจากออสเตรเลียน ไฟแนนเชียล รีวิว ว่า แควนตัสจะให้นักบินที่ขับเครื่องบินโบอิ้ง 747 และ 767 ลาออกด้วยความสมัครใจ ก่อนหน้านี้สายการบินแควนตัส กล่าวว่า จะปลดระวางฝูงบินโบอิ้งที่เก่าแล้วตามส่วนหนึ่งของแผนการที่จะประหยัดเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยอลัน จอยซ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า สายการบินกำลังเผชิญกับภาวะที่ยากลำบากที่สุดที่เคยได้เจอมา

posted from Bloggeroid

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ข้ามฝั่งมาที่ ICHI ยังคงทำราคาหุ้นร้อนแรงได้ดีไม่เลิก หลังจากช่วงที่ผ่านมาซุ่มทำดีลเงียบเข้าลงทุนใน “ไบเล่” ล่าสุด เสี่ยตัน ภาสกรนที

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: นิวส์เวฟ

คอลัมน์ วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2557
ผู้เข้าชม : 10 คน
นิวส์เวฟ : หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับประจำวันอังคารที่ 20 พ.ค. 2557 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายอยู่ที่ 1,410.63 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.37 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.4 หมื่นล้านบาท

.............................................................

หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับประจำวันอังคารที่ 20 พ.ค. 2557 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายอยู่ที่ 1,410.63 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.37 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.4 หมื่นล้านบาท* สามประสานเข้าซื้อสุทธินำทัพโดยสถาบันเข้าเก็บไปทั้งสิ้น 1,191 ล้านบาท ตามด้วยต่างชาติที่ซัดไป 543 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์อีก 191 ล้านบาท ส่วนขาเทขายมีเพียงเจ้าเดียว คือ รายย่อย ที่เลือกขายสุทธิ 1,927 ล้านบาท * นักลงทุนปวดหัวกับปัญหาการเมืองเป็นแถบ เนื่องจากไม่รู้สุดท้ายแล้วมันจะไปจบลงที่ตรงไหน ตลาดหุ้นไทยก็เลยขาดความชัดเจนต่อไป เพราะดีได้ไม่นานเดี๋ยวก็ร้ายอีก ดังนั้น นักลงทุนจึงควรติดตามความคืบหน้ากันอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะสามารถปรับพอร์ตลงทุนตัวเองได้ทันต่อสถานการณ์ * เปิดฉากวันนี้ขอยกให้กับประเด็นกลุ่มหุ้นหลบภัยการเมือง โดยเลือกยกหุ้นเด่นน่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันเล็กน้อย * เริ่มจากหุ้น EA มีประเด็นน่าสนใจล่าสุด คือ เรื่อง P/E หุ้นบริษัท ที่ลดลงกันแบบฮวบฮาบจากเดิม P/E เคยวิ่งสูงปรี๊ด 169 เท่า พอประกาศงบไตรมาส 1 ออกมาเท่านั้นแหละ โอ้โห ถอยลงเหลือเพียง 69 เท่า หายกันไปท่วมท้นถึง 100 เท่าเลยทีเดียว * อีกรายคือเป็น SPCG เพราะถือเป็นบริษัทที่น่าสนใจเช่นกัน P/E ปัจจุบันเหลือแค่ 27 เท่า จากเดิมประมาณ 35 เท่า โดยเฉพาะอัตราทำกำไรสุทธิวิ่งเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดไปแตะ 32% (สิ้นไตรมาส 1) นี่ถ้ารักษาระดับได้ดีต่อเนื่องยันสิ้นไตรมาสสุดท้าย สงสัยได้เห็นกำไรทั้งปี 57 สูงท่วมทะลักแน่ * ข้ามฝั่งมาที่ ICHI ยังคงทำราคาหุ้นร้อนแรงได้ดีไม่เลิก หลังจากช่วงที่ผ่านมาซุ่มทำดีลเงียบเข้าลงทุนใน “ไบเล่” ล่าสุด เสี่ยตัน ภาสกรนที เปิดปากวาดฝันว่า เฉพาะงวดปี 57 ขอประเดิมฟาดยอดขายจากไบเล่ไปสัก 200 ล้านบาท * จากนั้นในปี 58 จะทำยอดขายทะยานแตะระดับ 1,000 ล้านบาท เพราะถือเป็นช่วงปีที่เดินหน้าทำตลาดเต็มรูป แล้วยังมั่นใจอีกว่า เม็ดเงินที่หว่านลงทุนกับไบเล่ไปประมาณ 240 ล้านบาท จะต้องคุ้มทุนภายใน 2 ปี เร็วกว่าที่ปรึกษาทางการเงินมองไว้ระดับ 7 ปี เอ้าตามดูกันต่อไปว่า เสี่ยตันจะทำได้จริงหรือไม่ * หุ้น SIRI หายไปซะนาน หลังจากหุ้นปั่นป่วนโดนผลกระทบหมัดฮุคปัญหาการเมืองเข้าเต็มคาง จนสั่นสะเทือนให้ราคาหุ้นบริษัทดิ่งถอยลงทุกวันไม่มีหยุด * แต่งานนี้นิวส์เวฟมองว่า ราคาหุ้นชักเริ่มต่ำมากเกินไปแล้วล่ะ เนื่องจากปัจจุบันเทรดกันด้วย P/E แค่เพียง 6 เท่า ขณะที่ P/BV ก็อยู่แถวระดับ 1 เท่า จึงนับว่าราคาถูกจนควรหาจังหวะเข้าเก็บ ส่วนจะเลือกเก็งกำไรเล่นสั้นหรือเข้าลงทุนระยะยาวก็แล้วแต่กลยุทธ์ของแต่ละคนได้เลย * หุ้น BEC โดนทีวีดิจิตอลทำพิษเสียแล้ว จากที่เคยเป็นประเด็นบวกกลับแปรเปลี่ยนเป็นปัจจัยลบ เนื่องจากช่องที่ประมูลกันมาทั้งหลายยังไร้วี่แววคอนเทนต์ดีๆ เข้ามาช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัท แถมยังต้องแบกต้นทุนสูงลิบเพิ่มเข้าไปอีก * ฟากนักวิเคราะห์เองก็ได้ประเมินกันออกมาว่า ถ้าหาก BEC ยังไม่สามารถสร้างรายได้ภายในเร็ววัน เพียงเฉพาะแค่งวดปี 57 อาจต้องแบกต้นทุนทีวีดิจิตอลไปถึงหลัก 1 พันล้านบาท พร้อมกับกำหนดคำแนะนำ “ขาย” เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงไว้ก่อน งานนี้ ได้พิสูจน์ฝีมือทีมผู้บริหารช่อง 3 กันแบบเต็มๆ ว่าจะวางแผนหรือใช้กลยุทธ์อะไรมาแก้วิกฤตในครั้งนี้ *

posted from Bloggeroid

วงการเงินแนะขายหุ้น THAI ผลการดำเนินงานไร้แววฟื้นตัว การเมืองรุมเร้า ธุรกิจแข่งขันดุเดือด

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: วงการเงินย้ำขายหุ้นTHAI

บริษัทจดทะเบียน วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2557
ผู้เข้าชม : 3 คน
วงการเงินแนะขายหุ้น THAI ผลการดำเนินงานไร้แววฟื้นตัว การเมืองรุมเร้า ธุรกิจแข่งขันดุเดือด ชี้งบไตรมาส 2 ส่อขาดทุนอีกหลังเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น



บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ในเชิงโอกาสการฟื้นตัวยังไม่มีความชัดเจน โดยช่วงปี 2557-2558 ผลประกอบการมีแนวโน้มขาดทุนต่อเนื่อง หลังจากมีปัญหาการเมืองภายในประเทศ และมีการแข่งขันที่รุนแรง

อีกทั้ง THAI ยังมีฐานะทางการเงินที่อ่อนแอ คาดว่าหนี้สินต่อทุน ณ สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 3 เท่า ขณะที่แผนการรับมอบเครื่องบินอีก 14 ลำ ใน 5 ปีข้างหน้า จะยิ่งเพิ่มภาระทางการเงินและต้นทุนดำเนินงาน ประกอบกับ THAI ยังไม่มีกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อแก้ไขสถานการณ์อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวในปี 2558

ทั้งนี้ ช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา THAI ขาดทุน 2.63 พันล้านบาท และถือเป็นการขาดทุนไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน และเป็นปีแรกในรอบ 10 ปี ที่ผลประกอบการในไตรมาส 1 ขาดทุน ทั้งที่ตามปกติแล้วไตรมาสนี้คือไตรมาสที่ดีที่สุดของปี เนื่องจากปัญหาการเมืองส่งผลกระทบให้ปริมาณผู้โดยสารต่ำกว่าระดับคุ้มทุนอยู่ที่ 4.81 ล้านคน แต่มีจำนวนเครื่องบินสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 101 ลำ ทำให้อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารต่อเที่ยวบิน (Cabin Factor) ลดเหลือ 70% ขณะช่วงเดียวกันของปีก่อนสูงถึง 80%

นอกจากนี้ คาดว่าช่วงไตรมาส 2-3 ยังมีโอกาสขาดทุนต่อเนื่อง เพราะอยู่นอกฤดูท่องเที่ยว (Low Season) ขณะที่ราคาตั๋วเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับลดลงจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ล่าสุดพบว่า Cabin Factor เดือนเมษายนอยู่ที่ 71.4% ซึ่งต่ำกว่าระดับคุ้มทุน ส่วนยอดจองตั๋วล่วงหน้าเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ 60% และมิถุนายน 40% ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนเล็กน้อย สำหรับไตรมาส 4/57 ที่แม้จะเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว (High Season) แต่การฟื้นตัวของผู้โดยสารยังขึ้นกับปัจจัยการเมืองเป็นสำคัญ และยังคาดการณ์ได้ยาก

ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยกดดันทั้งกรณีการจ่ายโบนัส และโอกาสบันทึกด้อยค่าทรัพย์สินเครื่องบินประมาณ 1 พันล้านบาท คาดว่าผลประกอบการปี 2557 จะขาดทุนก่อนรายการพิเศษ 7.48 พันล้านบาท จึงไม่เหมาะสำหรับพิจารณาเข้าลงทุน ให้คำแนะนำ “ขาย” โดยปรับลดมูลค่าพื้นฐานลง 23% มาที่ 10.30 บาท

ก่อนหน้านี้พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะประธานคณะกรรมการ THAI กล่าวยอมรับว่าการดำเนินงานในปี 2557 จะยังไม่ดีขึ้นจากปี 2556 ที่ THAI ขาดทุนถึง 12,000 ล้านบาท เนื่องจากการเมืองในประเทศยังผันผวน และไม่สามารถระบุได้ว่าจะยุติในรูปใดและเมื่อไหร่

โดยคงต้องยอมเสียคำพูดที่เคยระบุว่าปีนี้จะไม่ขาดทุน สำหรับช่วงไตรมาส 2/57 คาดว่าจะขาดทุนใกล้เคียงกับไตรมาส 1/57 เพราะยอดจองตั๋วโดยสารล่วงหน้าเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 3/57 จะยิ่งตกต่ำเพราะเป็น Low Season

ขณะที่วานนี้ (19 พ.ค.) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ THAI ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนเคียงข้างกลุ่ม กปปส. โดยแจ้งให้สมาชิกสหภาพฯ เข้าร่วมปฏิบัติการไล่ล่ารัฐมนตรี เพื่อยึดคืนอำนาจอธิปไตยตั้งแต่วันที่ 19-21 พฤษภาคม 2557 และหากข้อเสนอของกลุ่ม กปปส.ยังไม่ได้รับการตอบสนอง สมาชิกสหภาพฯสามารถใช้สิทธิการลาทุกประเภทพร้อมกันนับตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557
posted from Bloggeroid

วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เดี๋ยวนี้ตุลาการศาลก็กลายเป็นตัวตลกไปกับเขาด้วยแล้ว       

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ยิ่งเดินยิ่งติดกับดักตัวเอง

คอลัมน์ วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2557
ผู้เข้าชม : 12 คน
การเมืองไทยกำลังกลายเป็นที่ตลกขบขันในสายตาชาวโลกเข้าไปทุกวัน

ทหารตลก นักการเมืองตลกก็ยังพอทำเนา แต่เดี๋ยวนี้ตุลาการศาลก็กลายเป็นตัวตลกไปกับเขาด้วยแล้ว

น.ส.พ.เจแปน ไทม์ วิพากษ์วิจารณ์การทำงานขององค์กรตุลาการ และองค์กรอิสระของไทยอย่างหนัก ที่พาประเทศเข้าไปสู่จุดอับ ส่วนยูทูบชื่อดังของไต้หวัน นำเรื่องการพิจารณาในศาลไทยมาเสียดสีเป็นละครสัตว์อย่างสนุกสนาน

เขาบอกว่ากลุ่มคนชั้นสูง สู้ไม่ได้ทางการเมือง ก็เลยใช้อำนาจทางกฎหมายเข้าห้ำหั่นศัตรูทางการเมืองจนเกิดวิกฤตบ้านเมืองอย่างน่าสมเพช

วันนี้ มาประหัตประหารพรรคการเมือง ยื้อไม่ยอมให้มีการจัดการเลือกตั้ง ก็มีคำถามย้อนกลับไปว่า ก็รัฐธรรมนูญปี 50 ที่กลุ่มก้อนสนับสนุนการรัฐประหารปี 49 เป็นผู้ร่างมากับมือไม่ใช่หรือ

ร่างกันแบบ เอารูปทักษิณมาตั้งเป็นโจทย์ใหญ่ แล้วก็ใส่รายละเอียดเป็นบทบัญญัติขึ้นมา เพื่อป้องกันทักษิณและพรรคการเมืองของเขา หวนคืนสู่อำนาจทุกทาง แต่แล้วก็กีดกันทักษิณไม่อยู่

พอพ่ายแพ้แล้ว แทนที่จะรู้สำนึกว่า ขนาดกีดกันกันถึงขนาดนี้แล้ว ยังเอาชนะไม่ได้ ก็ดันทุรังจะหาวิธีการอื่นอีก ถึงกับทุบทำลายกฎกติกาที่ตัวเองเป็นผู้สร้างขึ้นมา

ขอทดลองสูตรทำลายสูตรใหม่อีก โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนประเทศจะพินาศฉิบหายเพียงใด

แต่ก็น่าผิดหวัง! ตะแบงกันมาทุกทางเพื่อไล่ต้อนบ้านเมืองให้เข้าสู่จุดอับให้ได้ แต่ 6 เดือนเข้าไปแล้ว ก็ทำได้แค่นี้แหละ...ยังไม่สามารถจะเผด็จศึกให้สะเด็ดน้ำได้

หวังทหารออกมาเผด็จศึก ทหารก็ไม่ออกมา

หวังให้ตุลาการศาลฯ องค์กรอิสระสถาปนา นายกรัฐมนตรีมาตรา 7 ให้ มันก็ทำได้แค่บางส่วนเท่านั้น

จะให้เกิดสัมฤทธิผลดังหวังเต็มร้อย ก็เป็นเรื่องจะต้องตะแบงกันไปไกลเกิน และยิ่งจะเป็นการประจานความอับอายตัวเองให้ชาวโลกได้ประจักษ์ถึงกระบวนการยุติธรรมไทยเข้าไปอีกเสียด้วย

ยิ่งเดินก็ยิ่งสะเปะสะปะ ออกนอกลู่นอกทางไปทุกที และก็ต้องค้นหาเป้าหมายใหม่ๆ อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า

จากที่เคยหวังว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้หมัดเด็ดสอยยิ่งลักษณ์กรณีถวิล เปลี่ยนศรี และจะส่งผลให้คณะรัฐมนตรีรักษาการพ้นไปทั้งคณะ

แต่เอาเข้าจริงแล้ว ศาลฯก็สั่งยิ่งลักษณ์ให้พ้นจากอำนาจไปเป็นการเฉพาะตัวเท่านั้น ครม.ที่เหลือต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

นั่นก็แสดงว่า สุญญากาศไม่เกิด นายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 จากคนนอก รวมทั้งสภาเถื่อนนอกระบบ ไม่มีทางยัดเยียดเข้ามาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้

คำตัดสินเยี่ยงนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของฝ่ายก่อม็อบที่ต้องคลำหาเป้าหมายใหม่ เพื่อต่อสู้เอาชัยให้ได้

หมดที่พึ่งจากศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ก็มาหวังเอากับวุฒิสภา

วุฒิสภายังไม่มีตัวประธาน ก็ใช้วิธีการ “ลักหลับ” ลงมติให้มีการเลือกประธานวุฒิฯจนได้ อันเป็น “วาระส่วนเกิน”จากพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญที่ไม่เคยมีธรรมเนียมมาก่อน

ครั้นได้ตัวประธานวุฒิสภามาแล้ว กปปส.ที่เป็นพวกเดียวกัน ก็พยายามเคี่ยวเข็ญประธานวุฒิสภาให้ลงนามทูลเกล้าฯเสนอชื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลางให้จงได้

มันก็เป็นการย้อนแย้งกับคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้

ประการสำคัญที่สุดก็คือ ไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราไหนเลยให้อำนาจประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามทูลเกล้าฯเสนอแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รวมทั้งเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

อำนาจนั้นเป็นของประธานรัฐสภา นั่นก็คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีตัวประธานสภาฯ แม้กระทั่งการจัดเลือกตั้งส.ส.

หรือแม้กระทั่งตัวประวุฒิสภาในเวลานี้ ก็ยังมีสถานะเป็นแค่ว่าที่ประธานเท่านั้น เพราะยังไม่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งออกมาเลย

ตะแบงยังไงก็ล้วนแล้วแต่จะติดกับดักตนเองทั้งนั้น ผมว่าศึกชิงชัยในบ้านเมือง ใกล้จะถึงจุดรูดม่านปิดฉากแล้วล่ะ

posted from Bloggeroid

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

มีตลาดหุ้นที่ร่วงแรงกว่าตลาดหุ้นไทย นั่นคือตลาดหุ้นเวียดนามที่โฮจิมินห์ ซิตี้           

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ตลาดหุ้นแย่สุดของโลก

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 09 พฤษภาคม 2557
ผู้เข้าชม : 9 คน
เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงเพราะอาการขวัญผวาของนักลงทุนว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นในการเมือง (ซึ่งเป็นการอ่านสัญญาณผิดพลาดอย่างยิ่ง) กลับปรากฏว่า มีตลาดหุ้นที่ร่วงแรงกว่าตลาดหุ้นไทย นั่นคือตลาดหุ้นเวียดนามที่โฮจิมินห์ ซิตี้

ตลาดหุ้นดังกล่าว สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้จัดอันดับว่าเป็นตลาดที่มีผลตอบแทนของตลาดเลวร้ายที่สุดในโลกของปีนี้เลยทีเดียว

นับตั้งแต่กลางเดือนเมษายนเป็นต้นมา ดัชนี VNI ของตลาดโฮจิมินห์ ซิตี้ ร่วงจากระดับ 600 จุด มาอยู่ที่ระดับ 527 จุดเมื่อปิดตลาดวานนี้ คิดเป็นการร่วงลง 12% เลยทีเดียว โดยเฉพาะในสัปดาห์ล่าสุดนี้ มีการเทขายของนักลงทุนรายย่อยแบบกระหน่ำ ด้วยเหตุผลเพราะว่า ต้องขายเอาเงินไปใช้หนี้ธนาคารของรัฐที่กำลังเร่งรัดทวงหนี้สินตามนโยบายรัฐบาล

ที่ผ่านมา นักลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามที่เป็น “ขาใหญ่” มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนราคาหุ้นในตลาด มักจะใช้เส้นสายสัมพันธ์ที่มีกับบรรดาผู้บริหารธนาคารทั้งระดับสูงและระดับสาขา เพื่อเอาเงินไปเก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังผลให้ราคาหุ้นหวือหวาอย่างมาก จนถึงขั้นเกิดภาวะฟองสบู่หลายระลอกในหลายปีมานี้

ปีที่ผ่านมา เวียดนามซึ่งเผชิญหน้ากับภาวะเงินเฟ้อรุนแรงในปีก่อน หันมาใช้นโยบายเข้มงวดทางการเงิน กำหนดมาตรการคุมเข้มคุณภาพของการปล่อยสินเชื่อ นับตั้งแต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และจำกัดวงเงินปล่อยสินเชื่อ ทำให้เศรษฐกิจซบเซาอย่างรุนแรง แต่ตลาดหุ้นก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ระดับหนึ่ง เพราะยังไม่ได้มีการควบคุมเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อเอามาซื้อขายหุ้น ทำให้ตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ จนถึงต้นเดือนเมษายน ปรากฏว่าดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามพุ่งขึ้นมากถึง 17% ดีที่สุดในเอเชีย ก่อนที่จะถึงช่วงเวลาพลิกผัน

เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลง เกิดจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามเลวร้ายลงไปต่อเนื่อง เพราะไตรมาสแรก พลาดเป้าที่คาดจะโต 5.4% ไปแล้ว ได้แค่ 4.96% (ใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ 4.39%) เพราะสาเหตุสำคัญคือ ธนาคารพาณิชย์ของรัฐยังคงไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาหนี้เน่าที่เรื้อรังและซุกหมกในระบบบัญชีได้

ถึงแม้ว่าธนาคารกลางของประเทศจะพยายามลดอัตราดอกเบี้ยลง อันเป็นแนวทางที่สวนจากปีก่อนที่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรง แต่ตราบใดที่ปัญหาหมักหมมในธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็ยากที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้มาก เพราะธนาคารไม่สามารถปล่อยสินเชื่อเพิ่มได้

ข้อเสนอของธนาคารกลางที่จะขายหนี้เน่าที่มีอยู่ในมือของธนาคารพาณิชย์เพื่อให้คนมาซื้อไปบริหาร เป็นหนึ่งในทางเลือก แต่ก่อนจะทำเช่นนั้นได้ จะต้องหาทางทวงหนี้ที่น่าสงสัยคืนเสียก่อน

ปฏิบัติการทวงหนี้ที่เอามาซื้อขายหุ้นจึงเกิดขึ้น และมีผลกระทบต่อนักลงทุนในตลาดโดยตรง

ไม่เพียงเท่านั้น ความขัดแย้งจากการกระทบกระทั่งทางทะเลของเรือจีนกับเวียดนามล่าสุด ก็ยังส่งผลจิตวิทยาสำคัญที่ทำให้ธนาคารรีบเร่งรัดหนี้สินคืนมากยิ่งขึ้น ทำให้การเทขายครั้งใหญ่ของนักลงทุนในทุกราคาเกิดขึ้นเป็นกระแสหลักครอบงำตลาด

สำหรับนักลงทุนต่างชาติและสถาบัน การเทขายระลอกใหญ่ของนักลงทุนส่วนบุคคลไม่ว่าจะขาใหญ่หรือขาเล็ก ล้วนแล้วแต่เป็นโอกาสสำหรับการซื้อหุ้นราคาถูกทั้งสิ้น เป็นเกมวัดใจอีกครั้ง ซึ่งเป็นภาวะปกติ

ถือเป็นช่วงของการเรียนรู้เศรษฐกิจทุนนิยมในอีกแง่มุมหนึ่งสำหรับนักลงทุนและผู้มีเงินออมเวียดนาม

posted from Bloggeroid

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ค้าปลีก "ปรับพอร์ต" ลุยขุมทรัพย์ตจว. อิออนหวนบุกไทย ผนึกเอสเอฟซุ่มผุดศูนย์การค้า : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ค้าปลีก "ปรับพอร์ต" ลุยขุมทรัพย์ตจว. อิออนหวนบุกไทย ผนึกเอสเอฟซุ่มผุดศูนย์การค้า : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ตลาด ค้าปลีกต่างจังหวัดแรงจัด หนุนธุรกิจรีเทลโตก้าวกระโดด คาดอีก 3 ปี สัดส่วนแซงหน้ากรุงเทพฯ "อิออน กรุ๊ป" ยักษ์ญี่ปุ่นหวนบุกไทยอีกรอบร่วมทุนค่ายสยามฟิวเจอร์ตั้งบริษัทลูกลุย ค่ายใหญ่ทยอยปรับพอร์ต กลุ่มทุนอินเตอร์-หน้าใหม่-หน้าเก่า-ทุนท้องถิ่น แห่จับจองทำเลทอง เผยอีสานยอดฮิต

แม้ปัญหาทางการเมืองจะยังลากยาวและไร้ข้อยุติว่าจะจบลงเมื่อไหร่ แต่ธุรกิจค้าปลีกยังคงขับเคลื่อนต่อไปต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่หันไปโฟกัสตลาดในต่างจังหวัดมากขึ้น ทั้งรายเดิมและรายใหม่

รวมถึงกลุ่มทุนท้องถิ่น ต่างประกาศเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และประเมินว่าในปี 2560 สัดส่วนธุรกิจค้าปลีกในต่างจังหวัดจะมีสัดส่วนขยับไปเป็น 72% และสัดส่วนค้าปลีกกรุงเทพฯจะลดลงเหลือเพียง 28% จากปัจจุบันที่สัดส่วนค้าปลีกในต่างจังหวัดเริ่มขยับมาอยู่ในระดับ 58% และกรุงเทพฯ 42% ตลาดค้าปลีกปี 2557 ประเมินว่าจะขยายตัว 6-7% ด้วยมูลค่า 2.3-2.4ล้านล้านบาท ล่าสุดของยักษ์ค้าปลีกรายใหญ่จากญี่ปุ่น "อิออน กรุ๊ป" ที่หวนคืนกลับเข้ามาแข่งขันในสมรภูมิค้าปลีกเมืองไทยรอบใหม่อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ได้ปิดฉากธุรกิจศูนย์การค้าขนาดใหญ่และเหลือเพียงโมเดลซูเปอร์มาร์เก็ต



อิออนผนึกเอสเอฟตั้งบริษัทลูกลุย

แหล่งข่าวระดับสูงบริษัทสยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า อิออนกรุ๊ปได้ให้ความสำคัญเข้ามาลงทุนในธุรกิจค้าปลีกในเมืองไทยอีกครั้ง โดยร่วมทุนกับบริษัทสยามฟิวเจอร์ฯ โดยได้ตั้งบริษัทอิออน ทาวน์ (Aeon Town) ขึ้นมา สำหรับพัฒนาศูนย์การค้าร่วมกัน เบื้องต้นมีแผนนำร่องโครงการศูนย์การค้าขนาด 2 หมื่น ตร.ม. 2 แห่งในต่างจังหวัด คาดว่าจะลงทุนก่อสร้างและพร้อมเปิดให้บริการในปี 2557-2558 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม แผนงานนี้ยังมีความล่าช้าออกไป เนื่องจากการหาที่ดินแปลงใหญ่ในทำเลที่เหมาะสมมีความยากมากขึ้น รวมทั้งต้องคัดเลือกโมเดลค้าปลีกที่สอดรับและตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ ของลูกค้า

"ถ้าเป็นมอลล์ขนาดเล็กสยามฟิวเจอร์จะลงทุนพัฒนาเอง และดึงกลุ่มธุรกิจของอิออนมาเป็นแม็กเนตหลัก แต่ถ้าเป็นมอลล์ขนาดใหญ่ก็คงต้องลงทุนร่วมกัน เรากับอิออนเป็นพาร์ตเนอร์กันมานานตั้งแต่

เริ่มแรกของธุรกิจสยามฟิวเจอร์ พูดได้ว่ามีเขาถึงมีเรา ซึ่งการลงทุนเรายังคงไปด้วยกันแต่ที่ช้าเพราะต้องยอมรับว่าที่ดินหายาก บางทำเลเราชอบเขาไม่ชอบ แต่บางที่เขาชอบเราไม่เห็นด้วย ก็ต้องมาคุยกันเพราะค้าปลีกในเมืองไทยยากและแข่งแรง"

ทั้งนี้ อิออน กรุ๊ปผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่จากญี่ปุ่น และเป็นอันดับ 10 ของโลก ซึ่งเคยเข้ามาบุกเบิกธุรกิจศูนย์การค้าในเมืองไทยเมื่อช่วงปี 2527 ในชื่อของ "สยามจัสโก้" แต่ไม่ประสบความสำเร็จจนลดบทบาทธุรกิจศูนย์การค้าลง เหลือไว้เพียงซูเปอร์มาร์เก็ต "แม็กซ์แวลู" ในปัจจุบัน และในปีนี้อิออน กรุ๊ปเตรียมเปิดศูนย์การค้าอิออนมอลล์ประเทศเวียดนามและกัมพูชา

ค่ายใหญ่ทุ่มปูพรมสาขาบุก ตจว.

นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงินและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินบัญชีและบริหารความเสี่ยง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ธุรกิจค้าปลีกในต่างจังหวัดมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ 58% ยังมาจากศูนย์การค้าในกรุงเทพฯ และ 42% เป็นต่างจังหวัด ซึ่งประเมินว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้าสัดส่วนตัวเลขดังกล่าวจะปรับเปลี่ยนตามการขยายตัวของตลาด สำหรับซีพีเอ็นปัจจุบันมีพื้นที่ค้าปลีกสาขาในกรุงเทพฯที่มีเพียง 508,186 ตร.ม. ขณะที่ในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 513,893 ตร.ม.

สอดคล้องกับภาพการเปิดศูนย์การค้าใหม่ของซีพีเอ็น ที่แม้ว่าจะยังมีทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดควบคู่กันไปเฉลี่ย 3-5 โครงการต่อปี แต่ใน 3 ปีจากนี้ตามแผนการลงทุนจะเป็นการเปิดสาขาในต่างจังหวัดและปริมณฑลทั้งหมด คือ ปี 2557 เปิดเซ็นทรัล เฟสติวัล สมุย และเซ็นทรัลพลาซา ศาลายา ปี 2558 เซ็นทรัลพลาซา ระยอง และเซ็นทรัลเวสท์เกต และปี 2559 เซ็นทรัลพลาซา นครราชสีมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแผนลงทุนของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ที่มีแผนจะเปิดอีก 7 สาขา เป็นในต่างจังหวัด 5 สาขาคือ ปราจีนบุรี ร้อยเอ็ด ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ และมุกดาหาร ด้วยงบฯลงทุน 5,350 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุม 34 สาขาใน 26 จังหวัด และอีก 2 สาขาในเวียดนาม คือ ฮานอยและโฮจิมินห์ซิตีด้วยงบฯลงทุน 400 ล้านบาท

ขณะที่นายปณิธาน เศรษฐบุตร ประธานกรรมการ บริษัท คอนทัวร์ จำกัด ที่ปรึกษาด้านการออกแบบพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ฉายภาพดังกล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในต่างจังหวัดที่ส่งผลให้รายได้ของประชากรในต่างจังหวัดสูงขึ้น ขณะที่ในแง่พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในต่างจังหวัดก็มีคล้ายคลึงกับคนกรุงเทพฯมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการจากส่วนกลางหันมาให้ความสำคัญกับการเปิดสาขาในต่างจังหวัดขึ้นมาก ปัจจุบันบางรายมีสัดส่วนรายได้

จากสาขาในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด 50/50 แต่ขณะที่บางค่ายสัดส่วนรายได้จากต่างจังหวัดขยับไปมากกว่า 60% ซึ่งเป็นในทิศทางเดียวกับร้านค้า ร้านอาหารหลาย ๆ แบรนด์ ที่ต่างเห็นโอกาสและหันไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในต่างจังหวัดมากขึ้น ขณะที่พื้นที่ค้าปลีกในกรุงเทพฯเริ่มนิ่งและทรงตัว

ด้านนางสาวบุษบา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยกล่าวว่า ขณะนี้แม้การเมืองยังไม่นิ่ง แต่การลงทุนของภาคเอกชนได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านเงินทุนและทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อเดินหน้าตามแผนธุรกิจที่วางไว้ โดยธุรกิจค้าปลีกภาพรวมปีที่ผ่านมามีการขยายสาขามากกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ โดยคอนวีเนี่ยนสโตร์เป็นเซ็กเมนต์ที่เติบโตสูงสุดและเป็นไฮไลต์ที่สำคัญของตลาดค้าปลีกในปีนี้ คาดว่าตลาดค้าปลีกปีนี้จะขยายตัว 6-7% จากมูลค่า 2.3-2.4 ล้านล้านบาท โดยมีปัจจัยจากการรุกขยายตัวของค้าปลีกสู่ภูมิภาคเป็นตัวเร่ง ช่วงครึ่งปีแรกจะเติบโตประมาณ 4.5% ซึ่งต่ำกว่าช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาที่ขยายตัวได้ถึง 9% อย่างไรก็ตาม คาดว่าทั้งปีน่าจะเติบโตได้ประมาณ 6-7% ขณะที่จีดีพีของประเทศไทยจะอยู่ที่ 2.5%

เผย อีสาน ตลาดใหม่สุดเฟื่อง

นายเนติธร ประดิษฐ์สาร ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อต้นเมษายนที่ผ่านมาได้เปิดสาขาใหม่ที่นครพนม เป็นร้านไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขาที่ 120 มีพื้นที่ขาย 5,153 ตร.ม. ซึ่งนครพนมเป็นจังหวัดชายแดนบนฝั่งแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองท่าแขก แขวงคำม่วนของ สปป.ลาวปัจจุบัน ประชาชนสามารถเดินทางข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไปยัง สปป.ลาวได้อย่างสะดวกในหลายจุด เป็นผลให้นครพนมมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง

ขณะที่ธุรกิจค้าส่ง "แม็คโคร" ก็เดินหน้าขยายสาขาในอีสานเช่นเดียวกัน ล่าสุดเปิดสาขาที่ 65 ที่จังหวัดบึงกาฬ นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สาขานี้มีพื้นที่ 7,000 ตร.ม. และเป็นสาขาที่มีศักยภาพการเจริญเติบโตที่ดี เนื่องจากบึงกาฬตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์คือติดกับแม่น้ำโขง และ สปป.ลาว ซึ่งแต่ละปีการค้าขายบริเวณพรมแดนนี้มีมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้ จังหวัดบึงกาฬยังเป็นศูนย์กลางการปลูกและผลิตยางพาราที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน ซึ่งมูลค่าการผลิตและส่งออกมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

นายพงษ์ศักดิ์ สฤษฎีชัยกุล ประธานบริหาร บริษัท ซีนิท พลาซ่า จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่นขยายความว่า ช่วงนี้ค้าปลีกรายใหญ่จากส่วนกลางหันไปลงทุนในต่างจังหวัดมากขึ้น เชื่อว่าใน 2-3 ปีข้างหน้าพื้นที่ค้าปลีกในต่างจังหวัดจะแซงกรุงเทพฯแน่นอน โดยเฉพาะภาคอีสานที่ถือว่ายังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากมีพื้นที่ใหญ่และประชากรมากกว่าภาคอื่น รวมถึงเส้นทางคมนาคมที่ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น หลังจากเซ็นทรัลเข้ามาเปิดศูนย์การค้าในขอนแก่นได้ 3 ปี วันนี้คนไปเดินกันแน่นห้าง ก็เป็นโอกาสของบริษัทที่จะเปิด "ฮักส์ มอลล์" ไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกในขอนแก่น และกำลังมองการลงทุนเพิ่มเติมที่นครราชสีมาหรืออุดรธานี

posted from Bloggeroid