วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

RS ชัยชนะของลิขสิทธิ์ รายงานพิเศษ วันอังคารที่ 01 เมษายน 2557

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: RS ชัยชนะของลิขสิทธิ์

รายงานพิเศษ วันอังคารที่ 01 เมษายน 2557
ผู้เข้าชม : 4 คน
คำสั่งศาลปกครองกลางเมื่อวานนี้ ในกรณีบริษัทในเครืออาร์เอส (อาร์เอสบีเอส-อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์สปอร์ต แมเนจเม้นท์ จำกัด) หนึ่งในบริษัทลูกของ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ยื่นฟ้องทางสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. กับพวกรวม 12 คน เพื่อให้มีคำสั่งให้ กสทช. แก้ไขหรือยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 หรือ มัสต์ แฮฟ (MustHave) ถือเป็นความชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง

แม้ว่าผู้ที่แพ้คือ กสทช. ยืนยันว่า จะอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดก็ตาม เรียกว่าไม่ล่าไม่มีเลิกรา

กรณีที่เกิดขึ้น ยืดเยื้อมายาวนาน หลังจากที่ กสทช.ระบุว่า บริษัทในเครืออาร์เอสดังกล่าว จะต้องปฏิบัติตามกฏมัสต์ แฮฟ-MUST have rule ลงวันที่ 4 มกราคม 2556 ที่ให้การถ่ายทอดกีฬาฟุตบอลโลกปี 2014 ทุกนัด ในอีก 2 เดือนข้างหน้า ต้องออกอากาศผ่านฟรีทีวีเท่านั้น และห้ามจอดำอันเป็นส่วนหนึ่งของกฎที่ครอบคลุมให้ 7 รายการกีฬาต้องออกอากาศผ่านฟรีทีวีเท่านั้น โดยมีฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทั้ง 64 นัด เป็น 1 ในรายการที่อยู่ในข่าย โดยอ้างถึงอ้างหลักการทั่วไปว่าด้วยสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนอย่างเสมอภาค โดยการคุ้มครองไปถึงคนพิการและคนด้อยโอกาส

ตามกฎดังกล่าว กำหนดกีฬา 7 ประเภทที่ต้องบังคับให้มีการถ่ายทอดสดผ่านฟรีที่ว่า หรือ FTA (free-to-air) ตามกติกาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในด้านสื่อสาธารณะ คือ

1.การแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือกีฬาซีเกมส์

2.การแข่งขันกีฬาสำหรับนักกีฬาคนพิการอาเซียนพาราเกมส์

3.การแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศในทวีปเอเชีย หรือเอเชี่ยนเกมส์

4.การแข่งขันกีฬาสำหรับนักกีฬาคนพิการเอเชี่ยนพาราเกมส์

5.การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก

6.การแข่งขันกีฬาสำหรับคนพิการหลายประเภทจากทั่วโลก หรือกีฬาพาราลิมปิก

7.การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย (64 นัดสุดท้าย)

ข้อกำหนดดังกล่าว สร้างปัญหาให้กับบริษัทในเครือ RS ซึ่งเป็นผู้ครอบครองลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2014 โดยตรง ซึ่งที่ผ่านมา ทางเอกชนได้ยื่นคำขอผ่อนผันต่อ กสทช. ขอถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายผ่านฟรีทีวี เพียง 22 คู่ จาก 64 คู่

คำกล่าวอ้างของ RS ระบุว่า บริษัทฯ ได้รับลิขสิทธิ์จากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ให้ถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวี 22 คู่ ที่เป็นคู่สำคัญ และนัดแข่งขันที่เหลือจะออกอากาศผ่านกล่องรับสัญญาณ "ซันบ็อกซ์" ของอาร์เอส

ข้อร้องเรียนดังกล่าว ถูก กสทช. ปฏิเสธ และยืนมติเดิม ให้บริษัทเครือ RS ต้องถ่ายทอดสดทั้ง 64 คู่ พร้อมระบุว่า หากฝ่าฝืนไม่ ปฏิบัติตามมัสต์แฮฟ จะมีโทษสูงสุดถึงการเพิกถอนใบอนุญาต กรณีเอาเปรียบผู้บริโภค ปรับ 5 ล้านบาท และปรับเพิ่มอีกวันละ 100,000 บาท นับจากวันที่มีการโฆษณาขัดต่อกฎดังกล่าว

ซึ่งบริษัทอาร์เอส เห็นว่าไม่สามารถปฏิบัติตามได้ เพราะจะเป็นการละเมิดกฎของฟีฟ่า อีกทั้งประกาศของ กสทช.ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังที่บริษัทอาร์เอส ได้ลิขสิทธิ์จากฟีฟ่าแล้ว จึงได้มีการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อฟ้อง กสทช.ให้ยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ. 2555 หรือกฎมัสต์ แฮฟ (Must Have) โดยอ้างถึงกฎหมายลิขสิทธิ์เป็นแนวทางต่อสู้

ในตอนฟ้องนั้น ค่ายอาร์เอสได้ทำการขอคุ้มครองชั่วคราว แต่ศาลปกครองก็ไม่คุ้มครองให้ จึงต้องรอการดำเนินการของศาลปกครองเสียก่อน ซึ่งไม่ชัดเจนว่าจะเสร็จทันบอลโลกอีก 2 เดือนนี้หรือไม่ หากไม่ทัน อาร์เอสก็จะเสียโอกาสทางธุรกิจ

ศาลปกครองกลางได้วินิจฉัย สั่งเพิกถอนประกาศ กสทช.ดังกล่าว โดยระบุว่า การแพร่ภาพและเสียงการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว ที่ บริษัท อาร์เอสบีเอส ได้รับอนุญาตจากฟีฟ่า มีลักษณะงานอันมีลิขสิทธิ์กฎหมายให้ความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ดังนั้นเนื้อหาในข้อ 3 ประกอบกับรายการการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ของภาคผนวกตามประกาศดังกล่าวของ กสทช. ทำให้บริษัทอาร์เอสบีเอส ซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิโดยชอบไม่อาจใช้สิทธิของตนได้ตามที่ได้รับการรับรองคุ้มครองตามกฎหมาย หรือทำให้ต้องตกเป็นฝ่ายผิดสัญญาที่ได้ทำไว้กับฟีฟ่า

ศาลปกครองกลางยังให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า กสทช.อาจกำหนดกฎเกณฑ์หรือมาตรการอย่างอื่นที่ไม่กระทบกระเทือนสิทธิ หรือบรรเทาภาระความเดือดร้อนแก่บริษัทอาร์เอสบีเอส. ได้ แต่ กสทช.กลับมิได้ดำเนินการแต่อย่างใด ประกาศดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่เกินจำเป็น

ศาลปกครองระบุอีกว่า แม้ กสทช.จะอ้างว่า การออกประกาศดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงและรับชมรายการการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้โดยไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่าย เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะนั้น แต่หลักกฎหมายปกครองในระบบนิติรัฐไม่ได้พิจารณายอมรับการอ้างเหตุผลเรื่องประโยชน์สาธารณะ โดยการให้ประโยชน์หรือกำหนดยกเว้นมิให้เกิดภาระแก่คนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือแม้แต่แก่คนส่วนใหญ่ของสังคม แต่กลับละเลยไม่ปกป้องคุ้มครองสิทธิของบุคคล หรือผลักภาระให้บริษัทอาร์เอสบีเอส ซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิโดยชอบและได้สิทธินั้นมา ดังนั้น จึงมิให้นำประกาศดังกล่าวมาใช้กับการเผยแพร่การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปีนี้

สาระสำคัญของ คำวินิจฉัยดังกล่าว ยืนยันว่า ประกาศของ กสทช. มีอำนาจบังคับต่ำกว่า พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ดังนั้น จึงไม่อาจลบล้างข้อความในกฎหมายลิขสิทธิ์ได้

สาระของศาลปกครองกลางดังกล่าว สอดรับกับคำวิจารณ์ก่อนหน้านี้ของ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ท้วงว่า ขัดกับ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ชัดเจน ส่งผลให้ในอนาคตเจ้าของลิขสิทธิ์รายการต่างๆ หากจะพิจารณาขายสิทธิรายการให้กับประเทศไทย ต้องมีแนวโน้มที่จะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ถึงขั้นทำหนังสือยืนยันเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2555

คำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นล่าสุด ถือว่าเป็น การปลดล็อกทางธุรกิจของ RS อย่างมีนัยสำคัญ เพราะนี่คือโอกาสทองที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนไปประมูลลิขสิทธิ์จากฟีฟ่า ผู้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่บราซิลในปีนี้ หลังจากที่ในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมาทิศทางธุรกิจไม่ค่อยดีนัก ผลประกอบการปรับตัวลดลงไปในทุกกลุ่มธุรกิจ ทำให้คาดผลประกอบการในไตรมาส 1/57 น่าจะออกมาไม่ดีนัก

ตามแผนธุรกิจที่กำหนดไว้ RS ตั้งเป้าหมายจะขายกล่องฟุตบอลโลกไว้ที่ประมาณ 1 ล้านกล่อง ราคากล่องละ 1,500 บาท นอกเหนือจากรายได้จากการบริหารสิทธิฟุตบอลโลกในรูปของค่าโฆษณาและสปอนเซอร์ จาก 4 สปอนเซอร์หลักเข้ามาแล้ว ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย, เครื่องดื่มตราช้าง, AIS 3G 2100 และกลุ่ม ปตท.ซึ่งมีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 40-45% ของรายได้จากค่าโฆษณาทั้งหมด

คำสั่งของ กสทช. และข้อขัดแย้งในศาลปกครองที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลให้ RS เกิดการชะงักงันในด้านการขายกล่องฟุตบอลโลก จากเดิมที่คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงวันที่ 1 เมษายน 2557 นี้ จำต้องเลื่อนขายกล่องฟุตบอลโลกออกไป จนกว่าทางศาลปกครองจะมีคำตัดสินชี้ชัด โดยระบุว่า หากไม่สามารถขายกล่องได้ จะพลาดรายได้ขายกล่องประมาณ 100-200 ล้านบาท (หลังหักต้นทุนค่าจ้างผลิตกล่องและต้นทุนค่าการตลาด) แต่ในกรณีที่ศาลออกคำวินิจฉัยออกมาทันเวลา บริษัทก็ยังมีโอกาสและเวลาในการขายกล่องได้ทัน ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งเป็นบวก

ด้าน กสทช. ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวในเย็นวันเดียวกัน ว่าจะทำการอุทธรณ์คำวินิจฉัยดังกล่าว แต่ก็เท่ากับว่า RS ได้รับสิทธิดังกล่าวกลับคืน และสามารถทำธุรกรรมอื่นๆ ที่กำหนดเอาไว้ตามแผนธุรกิจได้

ความคาดหวังของผู้บริหาร RS เรื่องรายได้พิเศษจากการบริหารสิทธิฟุตบอลโลกที่ประมูลมาได้เมื่อ 6 ปีก่อน จากที่เคยถ่อมตัวว่า รายได้พิเศษจากการบริหารจัดการลิขสิทธิ์และถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 เข้ามาขั้นต่ำประมาณ 650 ล้านบาท จึงไม่เพียงแต่อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น หากยังสามารถที่จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายกล่องอีกจำนวนมหาศาลทีเดียว

ชัยชนะในทางกฎหมายของ RS ที่เกิดขึ้น แม้จะยังไม่จบสิ้นเสียทีเดียว แต่ก็มีความชัดเจนว่า แผนธุรกิจที่เคยกำหนดเอาไว้ จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และสามารถที่จะพลิกแพลงหาสูตรทางธุรกิจที่แนบเนียนในการทำการตลาดเพี่อสร้างรายได้ ผสมกับการสร้างคะแนนนิยมให้กับตราสินค้าของบริษัทในระยะยาว

สำหรับผู้บริหารของ RS แล้วประสบการณ์จากการทำธุรกิจสื่อบันเทิงในสังคมไทยมายาวนาน น่าจะทำให้พวกเขายืดหยุ่นมากเพียงพอที่จะเข้าใจได้ไม่ยากว่า แม้จะได้สิทธิเพื่อ “กินรวบ” ในทางธุรกิจมาแล้ว แต่โดยพฤตินัยแล้ว การทำธุรกิจจำต้องมองเห็นทั้งประโยชน์ระยะสั้นและยาวควบคู่กันไป

บทเรียนครั้งนี้ ถือว่ามีความหมายอย่างลึกซึ้งต่อ กสทช.ในการใช้อำนาจโดยอ้างถึงสาธารณะประโยชน์ และเป็นบทเรียนทางธุรกิจสำคัญของ RS และผู้ที่ต้องการบริหารสิทธิกีฬาระดับโลกรายอื่นในอนาคต

เราคงจะได้เห็นกลยุทธ์การตลาดที่พลิกแพลงและ “กินแบ่ง” ของ RS นับจากนี้ไปในกรณีฟุตบอลโลก 2014 ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้รายได้และผลกำไรของบริษัทเติบโตสดใสมากยิ่งขึ้น สามารถฝ่าคลื่นลมของธุรกิจในสภาพที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมืองยามนี้ได้อย่างดี

posted from Bloggeroid

ช้อป8หุ้นเด่นน่าลงทุน งบไตรมาส1กำไรพุ่ง ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 01 เมษายน 2557

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ช้อป8หุ้นเด่นน่าลงทุน
งบไตรมาส1กำไรพุ่ง
ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 01 เมษายน 2557
ผู้เข้าชม : 10 คน
เปิดโผ 8 หุ้นเด่น กำไรไตรมาส 1/57 แกร่ง "กูรู" ยก KSL-TVO-STA-DELTA-KCE-HANA พื้นฐานเติบโตน่าลงทุน พร้อมชู IVL-TTA หุ้นเทิร์นอะราวด์ซื้อลงทุนได้ทั้งระยะสั้นและยาว



นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับกลุ่มหุ้นเด่นที่มีแนวโน้มทำผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/57 ออกมาเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนและงวดไตรมาส 4/56 มีทั้งหมด 8 บริษัท ได้แก่

1.บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL 2.บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO 3.บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA 4.บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA 5.บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE 6.บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA 7.บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL และ8.บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA

สำหรับในส่วนของ KSL (งบไตรมาส 2 งวดก.พ.-เม.ย. 57) รวมถึงหุ้น TVO และ STA นับเป็นหุ้นกลุ่มสินค้าเกษตรที่ได้รับผลประโยชน์จากราคาขายผลิตภัณฑ์ในงวดไตรมาสนี้ที่ปรับตัวสูงขึ้น และจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทให้มีโอกาสเพิ่มขึ้นในระดับสูง

ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่าง DELTA, KCE และ HANA จะได้รับผลบวกจากปัจจัยตัวเลขการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตได้ดี รวมถึงภาวะค่าเงินบาทที่ยังอ่อนค่า ขณะที่ IVL และ TTA (งบไตรมาส 2 งวดเดือนม.ค.-มี.ค. 57) จะถือเป็นหุ้นที่เทิร์นอะราวด์ที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตขึ้นตามการฟื้นตัวของพื้นฐานธุรกิจ

“หุ้น KSL TVO และ STA จะมีปัจจัยหนุนจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่าง DELTA KCE และ HANA จะมีโอกาสเติบโตจากตัวเลขส่งออกสินค้าที่ยังดี ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้ยังสามารถเข้าลงทุนในระยะยาวได้ แต่ถ้าเป็นหุ้นที่เซนติเมนท์เชิงบวกทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจะเป็นหุ้น IVL และ TTA” นายกรภัทร กล่าว

ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ธุรกิจน้ำตาลของ KSL จะเริ่มมีกำไรในไตรมาส 2/57-3/57 ซึ่งเป็นฤดูกาลส่งออกน้ำตาลและรับรู้ต้นทุนอ้อยราคาใหม่ที่ถูกลง จึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2557 ไว้ที่ระดับ 2,016 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดปีก่อนที่ได้กำไรสุทธิ 1,661 ล้านบาท แนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาพื้นฐาน 17.30 บาท

ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ของ TVO จะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องจากไตรมาส 4/56 โดยมีแรงขับเคลื่อนจากความต้องการกากถั่วเหลือง ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ต้องใช้เพื่อผลิตอาหารสัตว์จะเพิ่มขึ้น กำหนดแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาพื้นฐาน 24.52 บาท

ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ขณะที่แนวโน้มการขายของ STA ในไตรมาส 1/57 อาจไม่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 4/56 มากนัก แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงและเป็นปัจจัยหนุนต่อผลการดำเนินงาน แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ให้ราคาพื้นฐาน 16 บาท

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า สำหรับกำไรของ DELTA งวดไตรมาส 1/57 คาดกำไรจะเติบโตขึ้น 5-19% จากงวดไตรมาส 4/56 มาอยู่ในกรอบ 1,150-1,300 ล้านบาท แนะนำ “TRADING BUY” จากเดิม ซื้อ คงราคาเป้าหมายที่ 58.40 บาท

ขณะที่บริษัท หลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า กำไรไตรมาส 1/57 ของ KCE มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัว แต่หากเทียบกับงวดไตรมาส 4/56 กำไรมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงด้วยปัจจัยทางฤดูกาล แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2557 ที่ระดับ 28 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด จำกัด ระบุว่า ในเบื้องคาดไตรมาส 1/57 ทาง HANA มีกำไรปกติ 420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นโดดเด่นกว่า 400% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยผู้บริหาร HANA ให้มุมมองแนวโน้มไตรมาส 1/57 ผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากสินค้ากลุ่ม PCBA อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า งบไตรมาส 1/57 ที่ฟื้นตัวยังไม่เหนือคาดหมาย กำหนดคำแนะนำเป็น “ถือ” ให้ราคาพื้นฐาน 27.50 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า สำหรับ IVL สเปรดของผลิตภัณฑ์ขั้นกลางสาย PET ซึ่งได้แก่ สเปรดของ PTA-PX ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากได้รับอานิสงส์หลักจากราคาต้นทุนวัตถุดิบพาราไซลีนที่ปรับตัวลดลง ประเมินมูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2557 เท่ากับ 26 บาท แนะนำ “ซื้อ”

นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2/57 ของ TTA มีกำไรสุทธิ 162 ล้านบาท ปรับลดลง 35% จากไตรมาส 1/57 แต่เพิ่มขึ้น 163% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากคาดการณ์อัตราค่าระวางเรือ TCE ของบริษัทอ่อนตัวลงจากความกังวลต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนที่อาจชะลอตัวลง แนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมาย 25.40 บาท

posted from Bloggeroid

KKPจ่ายปันผลหนัก7.1% ราคาเป้าหมาย51.0บาท ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 01 เมษายน 2557

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: KKPจ่ายปันผลหนัก7.1%
ราคาเป้าหมาย51.0บาท
ข่าวหน้าหนึ่ง วันอังคารที่ 01 เมษายน 2557
ผู้เข้าชม : 8 คน
ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) ใจป้ำจ่ายปันผล 7.1% มากสุดในระบบ XD วันที่ 30 เม.ย. นี้ ภาพรวมกำไรปีนี้เติบโต 14% ช่วงครึ่งปีหลังคึก ได้ดีลสินเชื่อรายใหญ่ 3 พันล้านบาท พร้อมคงคำแนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมายที่ 51.0 บาท



นายวรพล วิรุฬห์ศรี นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ "ซื้อ" ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) ให้ราคาเป้าหมาย 51 บาท dividend yield ระดับ 7-8% ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 30 เม.ย. โดยคาดว่าธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) จะมีกำไรในไตรมาส 1/57 จำนวน 965 ล้านบาท ลดลง 6% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 17% จากปีก่อนหน้า โดยสินเชื่อคาดขยายตัวเพียงเล็กน้อย 0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังคงชะลอตัว

ในขณะที่ดีลสินเชื่อรายใหญ่ขนาด 3 พันล้านบาทอาจจะเลื่อนไปไตรมาส 2/57 แทน โดยคาด NIM หดตัวลงเล็กน้อยจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจากหุ้นกู้ชุดใหม่ ซึ่งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิน่าจะทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังเติบโต 12% จากปีก่อนหน้า ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมมีแนวโน้มหดตัวลงตามการชะลอตัวของสินเชื่อ และธุรกิจตลาดทุนที่มูลค่าการซื้อขายหดตัวลง แม้ว่าส่วนแบ่งทางการตลาดจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และไม่มีงาน IB ขนาดใหญ่

ด้านรายได้อื่นคาดยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ เนื่องจากยังมีผลขาดทุนจากการขายรถยึดอยู่ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานคาดลดลงเล็กน้อยจากผลของฤดูกาล ในแง่คุณภาพสินทรัพย์ NPL ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น แต่อัตราการผิดนัดชำระหนี้ใหม่เริ่มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับ 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองยังคงปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/56

อย่างไรก็ตาม จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง โดยยังคงเชื่อว่าภาวะตลาดรถยนต์ปัจจุบันอยู่ในระดับที่เป็นจุดต่ำสุดแล้ว โดยราคารถยนต์เก่าเริ่มทรงตัวได้มาระยะหนึ่งแล้ว รวมทั้งผลขาดทุนจากรถยึดเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น แต่มองว่าปัญหาการเมือง และ เศรษฐกิจจะยังคงกดดันทำให้ภาพการฟื้นตัวยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะช่วยผลักดันการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานทั้งในแง่ของสินเชื่อ การตั้งสำรอง และผลขาดทุนจากรถยึด

นอกจากนี้ สินเชื่อปีนี้อยู่ที่ 8.4% ยังอยู่ในระดับที่เป็นไปได้ ซึ่งจะได้แรงหนุนจากภาคสินเชื่อรายใหญ่เข้ามาช่วยรวมทั้งคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ในขณะที่ดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำน่าจะช่วยให้ NIM ยังสามารถทรงตัวที่ระดับ 3.7% ได้ ในขณะที่ด้านตลาดทุนคาดจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังจากภาวะตลาดหุ้นที่น่าจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ และดีล IB โดยรวมคาดกำไรสุทธิปี 57 ของ KKP จะเติบโต 14%

อีกทั้ง ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" KKP ให้ราคาเป้าหมาย 51 บาท อิง 1.13 เท่า PBV บนสมมติฐาน L/T ROE ระดับ 14%โดยราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาจากความคาดหวังของตลาดที่เชื่อว่าตลาดรถยนต์น่าจะไม่ตกต่ำลงไปมากกว่านี้แล้วรวมทั้ง Valuation ที่ Deep Discount มากจนเกินไป ซึ่งมองว่า ณ ระดับ Valuation ปัจจุบันที่ 0.94 เท่า PBV, 7.0 เท่า PER และให้ dividend yield ระดับ 7-8% ก็ยังถือว่าน่าสนใจสำหรับการถือลงทุนระยะยาว

โดยการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์อาจจะยังคงต้องใช้ระยะเวลา แต่เชื่อว่าน่าจะเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดย KKP จะจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลัง 56 ที่ 1.65 บาท/หุ้น คิดเป็น Yield 3.9% ทั้งปีจ่าย 2.65 บาท ซึ่งจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 30 เม.ย. และ จ่ายเงินวันที่ 23 พ.ค.

posted from Bloggeroid

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

ความตึงเครียดเกี่ยวกับรัสเซียฉุดหุ้นเอเชีย ต่างประเทศ วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2557

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ความตึงเครียดเกี่ยวกับรัสเซียฉุดหุ้นเอเชีย

ต่างประเทศ วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 6 คน
ซีเอ็นบีซี - ตลาดหุ้นเอเชียปิดทั้งบวกและลบเมื่อวานนี้ นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับมาตรการลงทุนที่จะรุนแรงมากขึ้นต่อรัสเซีย ในขณะเดียวกันหุ้นในวอลล์สตรีทปรับตัวลงจึงส่งผลให้ตลาดเอเชียอยู่ในอารมณ์ที่ระมัดระวัง



หุ้นสหรัฐฯพากันปรับตัวลงเมื่อวันพุธ โดยดัชนีสำคัญๆ ยังไม่สามารถรักษากำไรเอาไว้ได้เป็นวันที่สองหลังจากที่ประธานาธิบดี บารัค โอบามาของสหรัฐฯเตือนว่าอย่าพึงพอใจต่อการเคลื่อนไหวของรัสเซียในยูเครน

ยูเครนและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้หารือเกี่ยวกับการช่วยเหลือทางการเงินแก่ยูเครนเมื่อวันพุธในขณะที่ผู้นำอียูและประธานาธิบดีโอบามา กล่าวว่า กำลังเตรียมมาตรการลงโทษที่รุนแรงมากขึ้นต่อรัฐบาลมอสโก โดยอาจใช้มาตรการที่รุนแรงขึ้นหากรัสเซียดำเนินการเพิ่มเพื่อบั่นทอนเสถียรภาพของยูเครน

ดัชนีนิกเกอิ ปรับตัวขึ้น 1% หุ้นญี่ปุ่นปิดสูงในรอบสองสัปดาห์หลังจากที่ปรับตัวลงถึง 1.5% ในช่วงเช้า ขณะเดียวกันการอ่อนตัวของเงินเยนก็ช่วยให้ดัชนีมีความแข็งแกร่งเมื่อเงินเยนกลับไปอยู่เหนือระดับ 102 เยนต่อดอลลาร์ จากที่ก่อนหน้านั้นเงินเยนอยู่ที่ 101.71 เยนต่อดอลลาร์ แข็งค่าสุดในรอบหนึ่งสัปดาห์

หุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ดีดตัวนำหุ้นอื่นๆ โดยทั้งฟาสต์รีเทลลิ่ง และชาร์ปปิดสูงขึ้น 3% แต่หุ้นการเงินก็ปรับตัวลงมากสุด นอกจากนี้หุ้นเอเอ็นเอ โฮลดิ้งส์ ปิดลดลง 1.3% หลังจากที่บริษัทประกาศว่าจะสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ 70 ลำ ซึ่งรวมถึงเครื่องบินโบอิ้ง 20 ลำ

อารมณ์ในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเมื่อวานนี้ยังเต็มไปด้วยความระมัดระวังก่อนที่จะมีการขึ้นภาษีขายในสัปดาห์หน้า ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่า การขึ้นภาษีขายจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค

ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิตปรับตัวลง 0.8% หุ้นจีนปรับตัวลงต่อเป็นวันที่สองเพราะมีความวิตกว่าสภาพคล่องจะตึงตัวหลังจากที่ธนาคารกลางจีนดูดซับเงินเมื่อวานนี้ซึ่งส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินสูงขึ้น โดยดอกเบี้ยรีโป 7 วัน พุ่งขึ้นเกือบ 1% จากวันพุธ เป็น 4.8%

ตลาดจีนยังคงเคลื่อนไหวตามการแถลงผลกำไรเช่นเดิม ไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ ปรับตัวลง 1.2% หลังจากที่กำไรลดลง 25% เมื่อปีที่แล้ว ในขณะที่ ไชน่า ชิปปิ้ง คอนเทนเนอร์ไลน์ ปรับตัวลงกว่า 2% หลังขาดทุนในปี 2556 เป็นเงิน 431 ล้านดอลลาร์ ส่วนหุ้นเทนเซนต์ ในฮ่องกง ปรับตัวลง 6% หลังจากที่หุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯปรับตัวลง ทำให้ดัชนีฮั่งเส็งปิดลดลง 0.24%

ดัชนีคอสปิปรับตัวขึ้น 0.7% หุ้นเกาหลีใต้ปิดสูงสุดในรอบหนึ่งเดือนเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเลือกซื้อหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ๆ โดยซัมซุง อิเล็กโทรนิกส์ พุ่งเกือบ 4% ขณะที่ฮุนได มอเตอร์ ปิดสูงขึ้น 1.2% นอกจากนี้บริษัทห้างสรรพสินค้าปรับตัวขึ้นแม้ข้อมูลชี้ว่ายอดขายรวมของเชนห้างสรรพสินค้าลดลง 2.4% ในเดือนกุมภาพันธ์ จากที่เพิ่มขึ้น 6.8% ในเดือนมกราคม

หุ้นอินเดียทำสถิติเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันที่ระดับ 22,204 จุดเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติซื้อต่อเพราะมีความหวังว่าเศรษฐกิจอินเดียจะฟื้นตัว ดัชนีเซนเซกซ์ปรับตัวขึ้น 0.5%

ตลาดซิดนีย์ปรับตัวลง 0.5% เพราะหุ้นเหมืองแร่อ่อนแรง อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P ASX 200 สามารถลดการขาดทุน 1% ในช่วงเช้าได้ จนปิดลดลงแค่ 0.5%

บีเอชพี บิลลิตัน และฟอร์เตสคิว เมทัลส์ ปรับตัวลงบริษัทละมากกว่า 1% เมื่อราคาทองแดงอ่อนตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบสองสัปดาห์ในวันก่อนหน้า นอกจากนี้ผู้ผลิตทองคำก็ปรับตัวลงเมื่อทองคำแท่งมีการซื้อขายที่ประมาณ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ไลนัส ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่ที่ยาหาก พุ่งขึ้น 25% หลังจากที่บริษัทคาดว่าจะมีการผลิตแร่หายากในเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นและยอดขายในช่วงไตรมาสเดือนมีนาคม 2557 สูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า

posted from Bloggeroid

คนป่วยแห่งอาเซียน คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2557

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: คนป่วยแห่งอาเซียน

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 25 คน
มติชนพาดหัวข่าวเฉียบคม “หัวร่อมิได้ ร่ำไห้มิออก! ประเทศไทยคว่ำ 2 ล้านล้าน อินโดฯ เดินหน้า 14 ล้านล้าน” พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งโครงการ 2 ล้านล้านของไทยจบไปแล้ว ต่อให้นายกฯ คนกลางก็ทำไม่ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า “เงินกู้ เงินนอกงบประมาณ” เป็น “เงินแผ่นดิน” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ฉะนั้น ต่อไป “เงินกู้” ต้องอยู่ในงบประมาณประจำปี รัฐบาลไหนก็กู้เงินก้อนใหญ่ไม่ได้

ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจ หากยังมีความขัดแย้งในแนวคิดทางเศรษฐกิจ เช่นที่ตุลาการถาม ทำไมไม่ราดยางถนนลูกรังให้หมดก่อน

จำได้ไหม ที่ศาลปกครองสั่งระงับประมูล 3G เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ศาลบอกว่าไม่มี 3G ไม่เห็นเป็นไร ก็มี 2G ใช้อยู่ทั่วประเทศแล้ว

จำได้ไหม ที่ศาลปกครองสั่งระงับ 76 โครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ตามคำฟ้องของสมาคมต่อต้านโลกร้อน ที่อ้างว่ากรมควบคุมมลพิษอนุมัติโดยไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญ ทั้งที่โครงการส่วนใหญ่ไม่ได้มีปัญหาก่อมลภาวะ

ขบวนการ “โค่นระบอบทักษิณ” ที่ก่อตัวขึ้นเมื่อ 8 ปีก่อน ไม่ได้บอกแค่ต้องการต่อต้านอำนาจนิยม คอร์รัปชั่น แต่ยังต่อต้าน “ทุนสามานย์” สวนทาง “ทักษิโณมิกส์” ซึ่งถ้าว่าตามเนื้อผ้า วิธีคิดแบบทักษิณแม้ว่าจะทำให้เติบโตก้าวกระโดด แต่ก็โลดโผนสุ่มเสี่ยง ขณะที่พวกเอ็นจีโอโนมิกส์ ก็สุดโต่งไปอีกทาง ต่อต้านโลกาภิวัตน์จนปฏิเสธหมด

ที่แย่กว่านั้นคือการขุดหาเรื่องโจมตีทักษิณโดยไม่แยกแยะ เช่น “ขายชินขายชาติ” ไม่พอใจผลประโยชน์ทับซ้อนก็ว่าไปอย่าง แต่สร้างกระแสคลั่งชาติด่าทอ “สิงคโปร์โตก”

ไม่เห็นด้วยกับการแปรรูป ปตท.ก็ไปขุดผู้เกี่ยวข้องกับพรรคไทยรักไทยได้หุ้นจอง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของนักเล่นหุ้น “ขาใหญ่” มาใส่สีตีไข่จนวันนี้ ผ่านรัฐประหาร ผ่านรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ยังมีพวกเป่านกหวีดจำนวนมากเชื่อว่าทักษิณถือหุ้นใหญ่ ปตท. บานปลายไปเป็น “ทวงคืน ปตท.” สติเฟื่องถึงขั้นเห็นประเทศไทยเป็นเศรษฐีน้ำมัน

คุณบรรยง พงษ์พานิช บอกว่าถ้ายังขัดขวางการให้สัมปทานขุดเจาะสำรวจ (โดยเชื่อว่าเป็นเศรษฐีน้ำมันต้องโก่งราคาสูง) ประเทศก็จะมีก๊าซธรรมชาติใช้อีกราว 7 ปีเท่านั้น (ว่าแล้วคุณบรรยงก็ถูกพวกทวงคืนเผาพริกเผาเกลือ หาว่าเป็นสมุนทักษิณ ทั้งที่เขียนด่าทักษิณคอร์รัปชั่นอยู่ทุกวัน)

แย่ไปกว่านั้น แหล่งทรัพยากรสำคัญคือพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชาในทะเล ก็เป็นไปได้ว่าต้องรออีก 20-30 ปี ให้คนรุ่นนี้ตายก่อน เพราะคดีปราสาทพระวิหาร ที่ไม่มีฝอยหมายังขี้ แค่แถลงการณ์ร่วมให้เขมรขึ้นทะเบียนมรดกโลก ตามพื้นที่มติคณะรัฐมนตรีปี 2505 เอามาปลุกคลั่งชาติบานปลายจนกลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศ ขนาดรัฐบาล ปชป.ยังโดนข้อหา “ขายชาติ” จากการทำ MOU ปี 2543

ฟิลิปปินส์เคยได้ฉายา “คนป่วยแห่งอาเซียน” แต่หลังจากประชาธิปไตยเข้มแข็ง ประธานาธิบดีอาคิโนก็ประกาศว่าฟิลิปปินส์ไม่ใช่คนป่วยอีกต่อไปแล้ว หันไปดูประเทศรอบบ้าน พม่าที่เคยตกอยู่ใต้เผด็จการทหารยาวนานกำลังจะก้าวกระโดด ลาวที่คนไทยเคยเยาะเย้ยว่าไม่มีทางรถไฟ ก็กำลังจะสร้างรถไฟความเร็วสูง เขมรอาจจะหมดยุคฮุนเซ็น แต่ก็เปลี่ยนแปลงด้วยการเลือกตั้ง

ประเทศที่เคยได้ฉายาคนป่วยแห่งเอเชียคือจีน แต่นานมากแล้ว น่าสังเกตว่าหลายประเทศที่มีปัญหา เคยมีอารยะธรรมรุ่งโรจน์ในอดีต กรีซต้องกู้เงินเยอรมัน ซึ่งสมัยกรุงเอเธนส์ยังเป็นคนป่า ใช่ไหมความภาคภูมิใจในชาติแบบยึดติดทำให้ปิดกั้นตัวเอง

คนไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร คนไทยเหนือกว่าชาติใดในโลกอยู่แล้ว

posted from Bloggeroid

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

THAIเจอพิษการเมืองวุ่นวาย

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: THAIเจอพิษการเมืองวุ่นวาย

บริษัทจดทะเบียน วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 3 คน
"การบินไทย" คาดไตรมาสแรก Cabin Factor ทรุดเหลือ 70% เหตุการเมืองทำพิษ แต่เชื่อเม.ย.นี้ผู้โดยสารเริ่มกลับมา หลังรัฐบาลประกาศเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มั่นใจครึ่งปีหลังพยุงฐานะทั้งปีได้ ย้ำผลประกอบการปี 57 ยังเป็นบวก


นายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยถึงแนวโน้มการดำเนินงานช่วงไตรมาส1/2557 (ม.ค-มี.ค.)ว่า คาดว่าจะมีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารต่อเที่ยวบิน (Cabin Factor) เฉลี่ย 70% ขณะช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 79% เนื่องจากปีนี้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในประเทศและมีการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ส่งผลให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวจีนซึ่งเป็นผู้โดยสารหลักลดลงอย่างมาก

ทั้งนี้ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา THAI มี Cabin factor 71.5% เดือนกุมภาพันธ์ 70% ขณะเดือนมีนาคมนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 68-70% แต่เชื่อว่าเดือนเมษายนสถานการณ์จะดีขึ้น โดยคาดว่าจะมี Cabin Factor เพิ่มขึ้นเป็น 72% เพราะรัฐบาลยกเลิกการใช้พ.ร.กฉุกเฉินแล้วและเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังประเทศไทย แต่ยอมรับว่าผู้โดยสารจะไม่กลับมาในทันที เพราะส่วนใหญ่เป็นกรุ๊ปทัวร์ที่ต้องใช้เวลาจองล่วงหน้า ซึ่งต้องรอประมาณ 2-3 เดือน

"เดือนมีนาคมนี้ยอมรับว่ายังไม่เห็นสัญญาณที่จะทำให้ตัวเลขดีขึ้น เราจึงคาดว่าไตรมาส1 Cabin Factor จะเฉลี่ยอยู่ที่ 70% และเชื่อว่าเดือนเมษายนนี้ตัวเลขจะดีขึ้นมาเป็น 72% เพราะรัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว หลายประเทศก็เริ่มลดระดับการแจ้งเตือนลง อย่าง ฮ่องกงลดจาก5 เหลือ 3ฟิลิปปินส์ลดจาก 3 เหลือ 1" นายโชคชัย กล่าว

นายโชคชัย กล่าวต่อว่า แม้ช่วงครึ่งปีแรกอาจไม่ดีเท่าที่ควรแต่ THAI ยังคงเป้ารายได้ที่ 2 แสนล้านบาทไว้เช่นเดิม และมั่นใจว่าปีนี้ผลประกอบการจะเป็นบวก เพราะเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลัง (ก.ค.-ธ.ค. 57) ซึ่งเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว (High Season) นักท่องเที่ยวจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติและช่วยพยุงฐานะทั้งปีไว้ได้

"ตอนนี้เรายังยืนตามเป้าเดิม เพราะเราเชื่อว่าช่วงไตรมาส3-4นี้สถานการณ์จะดีขึ้น และเข้าสู่ High Season แล้ว ถามว่าเรามีแผนกระตุ้นตลาดหรือไม่ เรามีแน่นอนแต่ตรงนี้ก็ต้องบริหารความเสี่ยงให้ดี เพราะการทำตลาดจะมาควบคู่กับค่าใช้จ่าย ยืนยันว่าปีนี้ผลประกอบการเราเป็นบวก" นายโชคชัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) THAI วานนี้ (26มี.ค.) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ THAI ได้รวมตัวกันมาประท้วงและยื่นหนังสือถึง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ ในฐานะประธานบอร์ด THAI เพื่อขอคัดค้านมิให้นายอำพน กิตติอำพน กลับมาดำรงตำแหน่งกรรมการ THAI อีก หลังจากยื่นใบลาออกจากตำแหน่งประธานบอร์ดไปแล้ว โดยให้บอร์ดเสนอชื่อบุคคลอื่นที่มีความเหมาะสมมาดำรงตำแหน่งแทนนายอำพนในการประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 ขณะวานนี้นายอำพน ไม่ได้เข้าร่วมประชุมบอร์ด

ทั้งนี้ พล.อ.อ ประจิน ได้ลงมารับหนังสือด้วยตนเองพร้อมทั้งกล่าวกับสหภาพฯว่ารู้สึกยินดีที่ได้ทำงานร่วมกัน และอยากให้พนักงานทุกคนทำงานอย่างเต็มที่และมีความสุขเพื่อผลักดันให้ THAI เป็นสายการบินแห่งชาติที่มีความภาคภูมิใจและเป็นที่ยอมรับต่อไป

posted from Bloggeroid

วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

SINGERรุก เข้าแม็คโคร ครบ60สาขา ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2557 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: SINGERรุก
เข้าแม็คโคร
ครบ60สาขา
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 11 คน
“ซิงเกอร์” รุกเข้าแม็คโครกว่า 60 สาขา ตั้งเป้ามีรายได้จากซิงเกอร์ พาวเวอร์ 100 ล้านบาทต่อสาขาต่อปี คาดหวังเพิ่มสัดส่วนลูกค้ากลุ่มเชิงพาณิชย์เป็น 60-70% จาก 40% และลุ้นรายได้ปีนี้มากกว่า 10%




นายบุญยง ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ โดยเปิดซิงเกอร์ พาวเวอร์ ซึ่งจัดตั้งเป็นบูธในห้างแม็คโคร เนื่องจากมีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน ทั้งลูกค้าโช่ห่วย ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร ภัตตาคาร เป็นต้น ขณะนี้ได้เปิดแล้ว 3 สาขา คาดว่าภายในช่วงครึ่งปีแรกนี้จะสามารถขยายได้ทั้งหมดในสาขาของแม็คโครที่มีกว่า 60 สาขา จะช่วยเสริมช่องทางการจัดจำหน่าย ถ้ามีการเติบโตที่ดีก็น่าจะมีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อสาขาต่อปี

สำหรับสาขาของบริษัทเองปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 220 สาขา ซึ่งจะยังไม่มีการขยายเพิ่มในปีนี้ จากเดิมที่มีแผนจะขยายอีก 10 สาขา เนื่องจากแนวโน้มการทำธุรกิจโดยการเปิดบูธจะช่วยลดต้นทุนมากกว่า และได้ผลตอบแทนที่ดี เพราะไม่ต้องใช้เงินในการตกแต่งร้านมาก ตอนนี้มีการจำหน่ายสินค้าเพียง 5 รายการ ภายใต้แบรนด์ เมอร์ริทท์ บาย ซิงเกอร์ (MERRITT BY SINGER) ขณะเดียวกันได้มีการนำบริษัทลูก อย่างซิงเกอร์ ลีสซิ่ง มาให้บริการกับลูกค้าแม็คโครที่ต้องการซื้อสินค้าโดยการผ่อนชำระ เพื่อให้ซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น และไม่เป็นภาระในการชำระค่างวดต่อเดือน

ทั้งนี้ การขยายการจัดจำหน่ายเข้าไปในแม็คโคร น่าจะส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นเป็น 60-70% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มเชิงพาณิชย์ประมาณ 40% กลุ่มเกษตรกร 25% (เป็นอาชีพชาวไร่ ชาวนาประมาณ 10% ที่ยังมีปัญหาจากโครงการรับจำนำข้าว) กลุ่มอาชีพอิสระประมาณ 25% กลุ่มข้าราชการประมาณ 5% และกลุ่มโรงงานประมาณ5%

ด้านการดำเนินงานในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา สินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือนมีมูลค่าการซื้อขายทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ในกลุ่มสินค้าเชิงพาณิชย์มีการเติบโตดี หลังจากที่บริษัทใช้สื่อโฆษณาทางทีวี ในชื่อซิงเกอร์ เก็ท ริช ทำให้สินค้าที่เป็นตู้แช่ ตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ และตู้น้ำมันหยอดเหรียญขายดี โดยมีการซื้อผ่านคอลเซ็นเตอร์มากขึ้น ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 60% จากเดิมที่ 50% ที่เหลือก็มีขายผ่านหน้าร้าน 220 สาขา ขายโดยตัวแทนขายที่มีอยู่ประมาณ 3,000 คน และมีรถเดินตลาดประมาณ 1,000 คัน

นายบุญยง กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อน หากสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายในช่วง 6 เดือนของปีนี้ แต่ถ้ายังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงมีความขัดแย้ง และยังไม่สงบ การเติบโตก็อาจจะไม่ถึง 10% แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทจะพยายามเพิ่มมูลค่าสินค้าที่มีอยู่ อย่าง ตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ นอกจากการขายตู้ ดอกเบี้ยจากเงินผ่อนแล้ว ก็จะมีการเติมเงินผ่านระบบของบริษัท โดยน่าจะวางตลาดตู้เติมเงินมือถือรุ่นใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะทำให้มีเงินหมุนเวียนจากตู้เติมเงินรุ่นใหม่นี้ประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี

ขณะเดียวกัน ด้านอัตราส่วนกำไรสุทธิปีนี้ บริษัทจะพยายามบริหารให้ได้ 10% จากการเพิ่มมูลค่าสินค้า ซึ่งตู้เติมเงินมือถือรุ่นใหม่จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนตู้น้ำมันหยอดเหรียญก็ยังขายได้ดี โดยขณะนี้ได้รับใบรับรองด้านความปลอดภัยแล้ว ทำให้การขายง่ายขึ้น จากเดิมขายได้ 150 ตู้ต่อเดือน ปรับขึ้นเป็น 500 ตู้ต่อเดือน ขณะที่ตู้โทรศัพท์มือถือ เดิมขายได้ 800 ตู้ต่อเดือน ก็ปรับขึ้นเป็น 1,500 ตู้ต่อเดือน ซึ่งจะเป็นตัวที่ขับเคลื่อนยอดขายสินค้าในกลุ่มสินค้าเชิงพาณิชย์ได้ดี

“กำไรปีก่อนที่ 320 ล้านบาท ถือว่าสูงที่สุดในรอบ 13 ปี ส่วนปีนี้ก็ยังมีการเติบโตจากการเพิ่มมูลค่าตัวสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ขณะที่การปรับอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมา น่าจะทำให้กำไรสุทธิดีกว่าปีก่อน รวมถึงในช่วงฤดูร้อนสินค้าที่ขายดี อย่างเครื่องปรับอากาศ (แอร์) ตู้เย็น ตู้แช่ จะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ดี รวมถึงทีวีดิจิตอล ในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะมีคูปองส่วนลดสำหรับซื้อกล่องจากทางกสทช.ออกมา ทางบริษัทก็จะมีการจัดแคมเปญซื้อทีวีแถมกล่อง หรือรับแลกทีวีเก่า เป็นต้น”

posted from Bloggeroid

วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

เมามันTSF-W2 ลูกแพงกว่าแม่ ลือ"เสี่ยต."ปั่น

เมามันTSF-W2
ลูกแพงกว่าแม่
ลือ"เสี่ยต."ปั่น

ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2557 
ผู้เข้าชม : 11 คน 

TSF หุ้นพิสดาร วิ่งกระจายไร้พื้นฐานหนุน ลือหึ่ง “เสี่ย ต.” โดดเล่นเก็งกำไร ดัน TSF-W2 วิ่งแซงหน้าหุ้นแม่ ฟากวงการเงินชี้หุ้น TSF แรงเต็มกำลังไม่แยแสติดเกณฑ์ “Cash Balance” เพื่อสร้างฐานราคารอ TSF-W3 เข้าเทรด

              แหล่งข่าวจากวงการเงิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีนักลงทุนรายใหญ่ ฉายา “เสี่ย ต.” ได้เข้ามาเก็งกำไรหุ้นบริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSF และใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญของบริษัท หรือ TSF-W2 โดยโหนกระแสข่าวบริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI จะเข้ามาเทกโอเวอร์กิจการ จนทำให้ราคาหุ้น TSF และราคา TSF-W2 มีแรงซื้อขายและปรับตัวเพิ่มขึ้นหนาแน่นอย่างผิดปกติ
              โดยราคา TSF-W2 ในวานนี้ (13 มี.ค.) ได้ทำราคาปิดปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาหุ้น TSF ซึ่งล่าสุด TSF-W2 ปิดการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 0.99 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 4.21% มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 168 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้น TSF ปิดที่ 0.76 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.70% มีมูลค่าการซื้อขายรวม 181 ล้านบาท
              สำหรับ TSF-W2 ได้กำหนดราคาใช้สิทธิแลกซื้อหุ้นสามัญที่จำนวน 0.187 บาทต่อหุ้น และกำหนดอัตราใช้สิทธิ 1 วอร์แรนต์ต่อ 1.60524 หุ้นสามัญ ดังนั้น หากประเมินที่ต้นทุนราคาปิดในกระดาน จะพบว่า หากซื้อ TSF-W2 จำนวน 2 หน่วย จะใช้ต้นทุนรวมไปแล้วถึง 1.98 บาท มีสิทธิซื้อหุ้นแม่จำนวน 3 หุ้น เท่ากับมีต้นทุนใช้สิทธิแลกซื้อรวม 0.561 บาท จึงมีต้นทุนรวมทั้งสิ้น 2.54บาท ถึงจะได้หุ้น TSF จำนวน 3 หุ้น
               ขณะที่การเข้าซื้อหุ้น TSF โดยตรงจำนวน 3 หุ้น จะใช้ต้นทุนเพียงแค่ 2.28 บาท ดังนั้น ราคา TSF-W2 ในปัจจุบันจึงถือว่าแพงกว่า TSF ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วราคาวอร์แรนต์มักจะต่ำกว่าหุ้นแม่ เพื่อจูงใจให้นักลงทุนใช้สิทธิแลกซื้อหุ้นสามัญ
              “มีกระแสลือว่า เสี่ย ต. กำลังเข้ามาเล่น TSF และ TSF-W2 ด้วยการโหนกระแส  VGI มีเทกโอเวอร์ธุรกิจ TSF เข้ามาเป็นตัวกระตุ้น ประกอบกับทั้งราคา TSF และ TSF-W2 ล้วนยังต่ำกว่าระดับ 1 บาท จึงสามารถดันราคาหุ้นให้ปรับเพิ่มขึ้นได้แรง โดยเฉพาะ TSF-W2 ที่ยังไม่ติดโทษ Cash Balance” แหล่งข่าว กล่าว
               แหล่งข่าวจากวงการเงิน กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกหนึ่งสาเหตุที่ราคาหุ้น TSF มีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่นผิดปกติ เพราะต้องการเร่งดันราคาหุ้นเพื่อรอการเข้าเทรดของ TSF-W3 ภายในอีกไม่นาน เพราะยิ่งราคาหุ้น TSF เพิ่มสูงมากเท่าไหร่ แนวโน้มที่ราคา TSF-W3 ช่วงเทรดวันแรกจะยิ่งสูงขึ้นตามมีมากเช่นกัน นอกจากนี้ ยังสร้างกำไรให้กับผู้ที่มี TSF-W3 อยู่ในพอร์ตลงทุนเป็นจำนวนมาก เพราะได้รับการจัดสรรวอร์แรนต์มาแบบไม่มีต้นทุน
               โดยผู้ที่จะได้รับการจัดสรร TSF-W3 จะต้องเป็นผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายของ TSF ครั้งล่าสุด จากนั้นได้รับจัดสรร TSF-W3 แบบไม่คิดมูลค่า กำหนดราคาใช้สิทธิแลกซื้อหุ้นสามัญ 0.25 บาทต่อหุ้น ในอัตรา 1 วอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นสามัญ ซึ่งทางบริษัทมีกำหนดการออกวอร์แรนต์ในช่วงวันที่ 14 มี.ค.นี้
               ดังนั้น จากปัจจัยข้างต้นทั้งหมดจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น TSF ที่แม้ยังติดเกณฑ์ Cash Balance (ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.-18 เม.ย. 2557) สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แรง ทั้งที่ปกติแล้วหุ้นเก็งกำไรที่ติดเกณฑ์ Cash Balance แทบจะไม่มีการซื้อขายหรือต้องปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะครบเวลากำหนด ส่วนกรณีของ TSF-W2 เป็นเพราะยังไม่ติดเกณฑ์ Cash Balance จึงสามารถเข้าซื้อขายและเล่นเก็งกำไรได้ง่ายกว่าหุ้น TSF ประกอบกับด้วยระดับราคาวอร์แรนต์ที่ยังต่ำกว่า 1 บาท จึงยิ่งดันราคาเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
             “ปกติแล้วหุ้นเก็งกำไรที่ยังติดโทษ Cash Balance แทบจะไม่มีแรงซื้อขายด้วยซ้ำ แต่ TSF กลับมีแรงเทรดเข้ามาหนาแน่น ก็เป็นเพราะเร่งดันราคาเพื่อรอการเข้าเทรดของ TSF-W3 ภายในเร็วๆนี้  เพราะยิ่งราคาหุ้นแม่สูงมากเท่าไหร่ โอกาสที่ TSF-W3 จะเพิ่มขึ้นแรงก็มีมากเช่นกัน ที่สำคัญ TSF-W3 ยังได้มาแบบไม่มีต้นทุน ซึ่งได้แถมมาจากการใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ทำให้สามารถขาย TSF-W3 ได้แทบทุกราคาในช่วงวันเข้าเทรดครั้งแรก” แหล่งข่าว กล่าว
            ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 7 มี.ค. 2557 ทางนายมารุต อรรถไกวัลวที ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร VGI เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีข่าวปรากฏว่า VGI  จะเข้าซื้อหุ้นของ TSF นั้นทางบริษัทขอเรียนชี้แจงว่า บริษัทมีความสนใจในการขยายธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน
             และยังอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในหลายๆ ช่องทาง โดยขณะนี้บริษัทยังมิได้มีการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าว และสำหรับการประชุมคณะกรรมการที่กำลังจะมีขึ้นนั้นเป็นกำหนดการประชุมตามวาระปกติเพื่ออนุมัติงบประมาณประจำปีของบริษัท
             อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ TSF ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีขาดทุนสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2556 ที่ผ่านมามีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 320.24 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.178 บาท ซึ่งเป็นการขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีขาดทุนสุทธิ 65.42 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0304 บาท

บิ๊กล็อต TRUE โผล่อีก 350 ล้านหุ้น
            ผู้สื่อข่าวรายงานการสำรวจรายการซื้อขายหลักทรัพย์บนกระดานใหญ่ (บิ๊กล็อต) ในช่วงวานนี้ (13 มี.ค.) พบว่า ได้มีบิ๊กล็อตหุ้น บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ถึง 4 รายการ จำนวนหุ้นรวมทั้งสิ้น 350 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 6.89 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวม 2,411 ล้านบาท
            อย่างไรก็ตาม รายบิ๊กล็อตหุ้น TRUE ที่ราคา 6.89 บาทต่อหุ้น ถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าราคาหุ้นในกระดาน โดยในช่วงวานนี้หุ้น TRUE ได้ปิดการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 7.65 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.68% เมื่อเทียบกับราคาปิดก่อนหน้าที่ 7.45 บาท โดยทำราคาสูงสุดของวันที่ 7.85 บาท  ต่ำสุดของวัน 7.50 บาท มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 4,685 ล้านบาท

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

คนไทยใช้เลขหมายมือถือเกือบ 100 ล้านเบอร์ - Voice TV

คนไทยใช้เลขหมายมือถือเกือบ 100 ล้านเบอร์ - Voice TV

ประเทศไทยมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือเกือบ 100 ล้านเลขหมายแล้ว และทรูมูฟเอช มีผู้ใช้บริการในระบบ 3 G มากกว่าดีแทคแล้ว
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เปิดเผยว่า จนถึงวันที่ 10 มีนาคม 2557 ประเทศไทยมียอดผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวนทั้งสิ้น 93.7 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็น
- ระบบ 2G จำนวน 50.8 ล้านเลขหมาย
- ระบบ 3G และ 4G 42.9 ล้านเลขหมาย
โดยผู้ใช้ระบบ 2G แบ่งเป็น
- เลขหมายของเอไอเอส 23 ล้านเลขหมาย
- เลขหมายของดีแทค 20 ล้านเลขหมาย
- เลขหมายของทรูมูฟ 7.8 ล้านเลขหมาย
ส่วนผู้ใช้ระบบ 3G และ 4G บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ แบ่งเป็น
- เลขหมายของแอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ตเวิร์ค ในเครือ เอไอเอส 19 ล้านเลขหมาย
- เลขหมายของดีแทคไตรเนต ในเครือดีแทค 10.6 ล้านเลขหมาย
- เลขหมายของทรูมูฟเอช 13.3 ล้านเลขหมาย
ซึ่งสูงกว่าดีแทค แต่หากรวมทั้งหมด ยังอยู่ในอันดับ 3 ของผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ
ซึ่ง กสทช.จะเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลคุณภาพสัญญาณให้มีประสิทธิภาพ ตรวจสอบอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้เป็นธรรม รวมถึงกำกับดูแลอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ ให้ลดลง 15% เพื่อให้ได้ใช้บริการที่มีประสิทธิภาพในราคาที่เหมาะสม
12 มีนาคม 2557 เวลา 20:20 น.

View 480

Keyword: ais , กสทช. , dtac , true , บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ , นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ , ระบบ 4g , ระบบ 3g , ระบบ 2g , เลขหมาย , ยอดผู้ใช้

posted from Bloggeroid

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

SIMกำไรQ1พุ่ง200ล้าน ซื้อเป้าราคาหุ้น4.60บาท

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: SIMกำไรQ1พุ่ง200ล้าน
ซื้อเป้าราคาหุ้น4.60บาท
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 12 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 6 คน
"SIM" ลุ้นไตรมาส 1/57 โชว์กำไร 180-200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18-32% จากไตรมาส 1/56 หลังยอดขายสมาร์ทโฟนเติบโต และการให้โปรโมชั่นน้อยลง หนุนอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่ม คาดกำไรปีนี้ทำนิวไฮที่ 1,022 ล้านบาท แนะซื้อเป้า 4.60 บาท



บริษัท สามารถ ไอ โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/57 น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 4/56 โดยบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากบรรยากาศทางการเมืองที่ทรงตัว ทำให้เซนติเมนท์ผู้บริโภคฟื้นตัวขึ้นได้บ้างจากที่หดตัวในไตรมาส 4/56 ประกอบกับการออกสมาร์ทโฟน (Smartphone) รุ่นใหม่ๆ ทำให้การใช้โปรโมชั่นมีความจำเป็นน้อยลง เป็นบวกต่ออัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/56 คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/57 ในกรอบ 180–200 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 2-13% จากไตรมาส 4/56 และเพิ่มขึ้น 18-32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วน 18-20% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปีที่คาดไว้ 1,022 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์ดังกล่าวเป็นประมาณการเบื้องต้น

ขณะที่สิ้นปี 2556 มีจำนวน Subscriber ทั้งสิ้น 4 แสนราย เทียบระดับคุ้มทุนที่ 6–7 แสนราย บริษัทตั้งเป้าจำนวน Subscriber ที่ 1.5 ล้านรายในปี 2557 (เทียบประมาณการของเราคาดที่เพียง 6 แสนราย) และคุ้มทุนได้ในราวช่วงไตรมาส 3/57 แม้ว่าการเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับ TOT จะยังไม่บรรลุข้อตกลงก็ตาม ซึ่งจะเป็นบวกต่อผลประกอบการของ SIM เนื่องจากเป็นธุรกิจที่สร้างผลขาดทุนราว 80 ล้านบาทในปี 2556 และธุรกิจนี้จะสร้างกำไรได้ชัดเจนในปี 2558 และมีแนวโน้มเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้ SIM ในอนาคต ลดความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของธุรกิจจำหน่าย Handset นอกจากนี้เราคาดว่าผลของการใช้งาน Smartphone มากขึ้นจะช่วยหนุนธุรกิจ Content เติบโตได้ดีจากปีที่ผ่านมาที่มีค่าใช้จ่ายพิเศษในช่วงไตรมาส 1/56

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองไม่มีปัจจัยลบใหม่กดดัน แต่ด้วยประมาณการเดิมของเราอยู่บนสมมติฐานที่เหตุการณ์อยู่ในภาวะปกติ จึงปรับประมาณการกำไรของ SIM ในปี 2557 ลง 9% เพื่อสะท้อนความเสี่ยงด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมือง โดยเฉพาะรายได้ชาวนาที่ได้รับผลกระทบจากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งคาดกำไรปกติปี 2557 ที่ 1,022 ล้านบาท เติบโต 26% จากปีก่อนเป็นระดับสูงสุดใหม่ของบริษัท ซึ่งยังคงเป็นการเติบโตในระดับสูง คงคำแนะนำ "ซื้อ" หุ้น SIM ให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 4.60 บาท/หุ้น อ้างอิง PEG ที่ 0.75 เท่า

posted from Bloggeroid

AEONTSยืนยัน ญี่ปุ่นไม่ทิ้งไทย ปีนี้ชูเป้าโต10%

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: AEONTSยืนยัน
ญี่ปุ่นไม่ทิ้งไทย
ปีนี้ชูเป้าโต10%
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 12 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 6 คน
ผู้บริหารของอิออนฯ มั่นใจศักยภาพประเทศไทย พร้อมเดินหน้าต่อยอดธุรกิจทุกช่องทาง คาดไตรมาสสองปัญหาทุกอย่างจบ ปรับกลยุทธ์ใหม่ดันธุรกิจปีนี้โต 10% เน้นกลุ่มเด็กจบใหม่-ลูกค้าต่างจังหวัด ตั้งเป้าบัตรใหม่ปีนี้แตะ 9 แสนใบ



นายยาซูฮิโกะ คอนโดะ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายธุรกิจปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 10% มั่นใจว่าสถานการณ์ทางการเมืองของไทยในปัจจุบันน่าจะจบภายในไตรมาสสองของปีนี้ ในฐานเป็นนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยนานกว่า 20 ปี มองว่า ประเทศไทยยังคงน่าลงทุน แม้ว่าจะมีปัญหาทางการเมืองเข้ามากระทบอยู่บ้าง แต่ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่แค่ครั้งแรก และปัญหาการเมืองครั้งนี้ เชื่อว่าไม่กระทบต่อตัวบริษัทและนักลงทุนต่างชาติกลุ่มอื่น นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงให้น้ำหนักการเข้าลงทุนเพื่อสร้างผลกำไรในระดับสูง

ดังนั้น ปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อในขณะนี้ บริษัทไม่จำเป็นต้องชะลอการลงทุนหรือเน้นลงทุนในประเทศอื่น ล่าสุด บริษัทได้ปรับแผนทางการตลาดเพื่อเพิ่มยอดบัตรใหม่บริษัทปีนี้เป็น 800,000-900,000 บัตร จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 700,000 บัตร ขณะที่ฐานลูกค้ามีทั้งสิ้น 7 ล้านราย ด้านยอดสินเชื่อคงค้างของบัตร หรือ Outstanding ช่วงปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 7 ล้านใบ คาดว่า ปีนี้น่าจะเกิน 7 ล้านใบ

การเพิ่มฐานบัตรใหม่ในปีนี้ บริษัทยังคงเน้นกลุ่มเด็กที่เพิ่งจบใหม่รวมถึงลูกค้าที่อยู่ในต่างจังหวัดมากขึ้น ในสัดส่วนลูกค้าต่างจังหวัดที่ 60% กรุงเทพมหานคร 40% ทั้งนี้ เชื่อว่าสัดส่วนดังกล่าวสามารถทำกำไรให้กับบริษัท เนื่องจากความต้องการบัตรและสินเชื่อส่วนบุคคลในต่างจังหวัดยังมีอยู่มาก โดยเน้นลูกค้าที่มีรายได้ประจำเป็นหลัก เพื่อควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่ปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีไม่ถึง 1% พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมเปิดสาขาเพิ่มจาก 116 สาขาเป็น 120 สาขาภายในปีนี้

นายยาซูฮิโกะ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานช่วงปีที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดีทุกด้าน โดยเฉพาะอัตราการเติบโตและกำไรของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทเตรียมส่งข้อมูลผลดำเนินงานปี 2556 แก่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ภายในช่วงเดือนมี.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลดำเนินงานปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับดีรวมถึงเป้าหมายในปีนี้ด้วย

ส่วนปัญหาทางการเมืองกระทบต่อตัวบริษัทน้อยมาก เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอาจส่งผลต่อการตัดสินใจการใช้จ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น ผลการดำเนินงานบริษัทช่วง 9 เดือนแรกของปี 56 บริษัทมีกำไรสุทธิประมาณ 1,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ทำได้เพียง 1,142 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 3/56 บริษัทมีกำไรสุทธิ 642 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้าที่ทำได้ประมาณ 642 ล้านบาท

นายยาซูฮิโกะ กล่าวว่า ล่าสุด บริษัทได้ร่วมมือกับ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป เปิดตัวแคมเปญ "365 วัน ...อิออนให้คุณเติมเต็มความสุขไม่รู้จบ" เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ต่อเนื่องให้แก่ลูกค้าที่ถือบัตรเครดิตของอิออนร่วมกับพันธมิตรอย่างเมเจอร์ฯ หากลูกค้าใช้จ่ายผ่านบัตรในการซื้อตั๋วหนังที่เมเจอร์ฯ ทั้งระบบปกติ ระบบสามมิติ และสี่มิติ 1 ใบฟรีอีก 1 ใบ รวมถึงการใช้บริการคาราโอเกะหรือโบว์ลิ่งได้ถึง 3 ชั่วโมง รวม 3 ครั้งต่อหนึ่งเดือน

posted from Bloggeroid

SIRIตั้งกองทุน1.9พันล้าน

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: SIRIตั้งกองทุน1.9พันล้าน

ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 12 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 4 คน
"แสนสิริ" เล็งขายอาคารสิริภิญโญมูลค่า 1,900 ล้านบาท เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แสนสิริ ไพร์มออฟฟิศ ในไตรมาส 1/57 โบรกฯคาดบันทึกกำไรพิเศษจากการขายทรัพย์เข้ากองทุน 20-30% หรือ 304-456 ล้านบาทต่อปี


นายวันจักร์ บุรณศิริ กรรมการและประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติในหลักการให้บริษัท ปภานัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทจำหน่ายทรัพย์สินอันได้แก่ อาคารสิริภิญโญ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าให้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แสนสิริ ไพร์มออฟฟิศ ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ไทยพาณิชย์

สำหรับกองทุนรวมที่จะจัดตั้งขึ้นคาดว่าจะมีมูลค่าไม่เกิน 1,900 ล้านบาท (อยู่ระหว่างการเจรจา) เพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุนทั่วไป ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยนำเงินที่ได้จากการระดมเงินทุนดังกล่าวจะนำไปซื้อ หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ และจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว

ทั้งนี้มีข้อตกลง ประกอบด้วย 1) SIRI จะมีการเช่ากลับเพื่อใช้เป็นอาคารสำนักงานต่อไป สำหรับพื้นที่ประมาณ 11,813 ตารางเมตร ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ 64.33% ของพื้นที่ให้เช่าภายในอาคารสิริภิญโญ 2) บริษัทตกลงจะรับประกันอัตราค่าเช่าและค่าบริการสำหรับพื้นที่ให้เช่าที่ว่างอยู่ในปัจจุบัน เนื้อที่ประมาณ 3,404 ตารางเมตร (พื้นที่รับประกัน) โดยมีระยะเวลารับประกัน 3 ปี และ 3) บริษัทตกลงที่จะรับประกันกำไรจากการดำเนินงานของทรัพย์สินที่กองทุนรวมจะเข้าลงทุนสำหรับช่วงเวลา 12 เดือนนับตั้งแต่วันที่กองทุนเข้าลงทุน ซึ่งคิดเป็นเงินจำนวน 114.2 ล้านบาท

ขณะนี้บริษัทจัดการได้ยื่นคำขอจัดตั้งกองทุนรวมและรายละเอียดโครงการจัดการกองทุนรวมเพื่อการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว โดยเบื้องต้นคาดว่ากองทุนรวมดังกล่าวจะจัดตั้งได้ภายในไตรมาส 1/57 นี้

ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า SIRI ถือหุ้นอยู่ในบริษัท ปภานัน 100% ดังนั้นหากขายอาคารสิริภิญโญออกไปก็จะมีกำไรบันทึกเข้ามายังงบรวม SIRI หากสมมุติให้มีกำไร 20-30% ของมูลค่า 1,900 ล้านบาท ก็จะมีกำไรหลังภาษีที่ประมาณ 304-456 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 13-20% เทียบกับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ที่คาดไว้ 2,285 ล้านบาท

แต่ทางฝั่งค่าใช้จ่าย คือ ค่าเช่ากลับที่ประมาณ 82 ล้านบาทต่อปี และการรับประกันรายได้ค่าเช่าขั้นต่ำให้กับกองทุนฯที่ตั้งไว้ 114.2 ล้านบาท ซึ่งเราคาดว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง รวมทั้งการที่ SIRI กลับเข้าไปถือหุ้นในกองทุนฯ อีก ซึ่งจะเป็นส่วนลดกำไร ดังนั้น จึงคาดว่าระยะสั้นราคาหุ้นจะตอบรับข่าวดีนี้ จึงอาจมีการเก็งกำไร แต่เราจะสอบถามข้อมูลบริษัทอีกครั้ง เพื่อทำการปรับประมาณการและราคาพื้นฐานอีกครั้ง นอกจากนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าราคาหุ้น SIRI มีการปรับตัวดีขึ้นส่วนหนึ่งแล้ว แนะนำ Fully Valued ราคาพื้นฐาน 1.89 บาท

posted from Bloggeroid

มือถือรอดภัยการเมือง AIS-DTAC-ทรูแข่งโต :ยอดผู้ใช้บริการพุ่ง 93.7 ล้านเลขหมาย

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: มือถือรอดภัยการเมือง
AIS-DTAC-ทรูแข่งโต
:ยอดผู้ใช้บริการพุ่ง 93.7 ล้านเลขหมาย
ข่าวหน้าหนึ่ง วันพุธที่ 12 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 6 คน
3 ค่ายมือถือ "AIS-DTAC-TRUE" ยอดผู้ใช้บริการกระฉูด "กสทช." เผยยอดผู้ใช้บริการมือถือปัจจุบันพุ่ง 93.7 ล้านเลขหมาย เป็นเลขหมายระบบ 3G และ 4G จำนวน 42.9 ล้านเลขหมาย ส่วนระบบ 2G จำนวน 50.8 ล้านเลขหมาย



นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบล่าสุดของสำนักงาน กสทช. ณ วันที่ 10 มี.ค. 2557 ที่ผ่านมา พบว่าประเทศไทยมียอดผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวนทั้งสิ้น 93.7 ล้านเลขหมาย โดยเป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2G จำนวน 50.8 ล้านเลขหมาย และเป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G และ 4G จำนวน 42.9 ล้านเลขหมาย

สำหรับยอดผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2G จำนวน 50.8 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็นเลขหมายในเครือข่ายของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC จำนวน 23 ล้านเลขหมาย และเลขหมายในเครือข่ายของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC จำนวน 20 ล้านเลขหมาย ขณะที่เลขหมายในเครือข่ายของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE จำนวน 7.8 ล้านเลขหมาย

ส่วนยอดผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G และ 4G จำนวน 42.9 ล้านเลขหมาย แบ่งเป็นเลขหมายในระบบ 3G คลื่น 2.1GHz ของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวิร์ค จำกัด หรือ AWN บริษัทในเครือ ADVANC จำนวน 19 ล้านเลขหมาย และเลขหมายในระบบ 3G คลื่น 2.1GHz ของบริษัท ดีแทค เนทเวอร์ค จำกัด หรือ DTN (TriNet) บริษัทในเครือ DTAC จำนวน 10.6 ล้านเลขหมาย

รวมทั้งเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G และ 4G ของกลุ่ม TRUE อีกจำนวน 13.3 ล้านเลขหมาย โดยเป็นเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G คลื่น 850 MHz ของบริษัท เรียล มูฟ จำกัด หรือ REAL MOVE บริษัทในเครือ TRUE จำนวน 10 ล้านเลขหมาย และเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G และ 4G คลื่น 2.1GHz ของบริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด หรือ RF บริษัทในเครือ TRUE อีกจำนวน 3.3 ล้านเลขหมาย

นายฐากร กล่าวว่า จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้สำนักงานกสทช.ยิ่งต้องเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลคุณภาพสัญญาณให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้มีประสิทธิภาพ ดูแลตรวจสอบอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้เป็นธรรม รวมถึงกำกับดูแลอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1GHz ให้ลดลง 15% ตามที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ได้กำหนดไว้ ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้ได้ใช้บริการที่มีประสิทธิภาพในราคาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม หากผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่พบปัญหาจากการใช้งานสัญญาณโทรศัพท์ขัดข้องค่าบริการสูงเกินจริง สามารถร้องเรียนมายังศูนย์รับเรื่องร้องเรียนสำนักงานกสทช.หมายเลขโทรศัพท์ 1200 ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

posted from Bloggeroid

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

Photic memory for executive brain responses -- ScienceDaily

Photic memory for executive brain responses -- ScienceDaily

The mechanisms underlying these positive effects of light still remain largely unknown. However, within the last decade or so, researchers have discovered a new type of light sensitive cell (photoreceptor) in the eye called melanopsin. This novel photoreceptor has been shown to be an essential component for relaying light information to a set of so-called non-visual centers in the brain. In the absence of this photoreceptor, animal research showed that non-visual functions are disrupted, the biological clock becomes deregulated and 'free-runs" independent from the 24 day-night cycle and the stimulatory influence of light is impaired. The melanopsin photopigment is unusual in many aspects and differs from our rods and cones since it shows invertebrate-like properties and is maximally sensitive to blue light.

In humans, it has not been possible to apply genetic tools to selectively isolate the precise role of this new photoreception system and consequently the role of melanopsin in human cognition and alertness has not been established. However, researchers from the Cyclotron Research Centre of the University of Liège (Belgium) and of the Department of Chronobiology of the INSERM Stem Cell and Brain Research Institute (Bron, France) have just provided evidence demonstrating the involvement of melanopsin in the impact of light on cognitive brain function. By exploiting the specific invertebrate-like responses of melanopsin combined with state-of-the-art functional Magnetic Resonance Imaging (fMRI) recording strategies, they were able to show that impact of light on brain areas recruited to perform an ongoing cognitive task depended on the specific color of previous light exposures. Prior exposure 1-hr earlier to an orange light enhanced the subsequent impact of the test light, while prior exposure to blue light had the reverse outcome.

The phenomenon of prior light effects on a subsequent response to light is typical of melanopsin as well as certain photopigments of invertebrate and plant, and has been referred to as a "photic memory." Humans may therefore have an invertebrate or plant-like machinery within the eyes that participates to regulate cognition. It may also explain what human chronobiologists have described as "previous light history effects," a form of long term adaptation to previous lighting conditions.

These findings emphasize the importance of light for human cognitive brain functions and constitute compelling evidence in favor of a cognitive role for melanopsin. More generally, the continuous change of light throughout the day also changes us. Ultimately, these findings argue for the use and design of lighting systems to optimize cognitive performance.

posted from Bloggeroid

วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

TVDทุ่มงบ500ล. ทำตลาด-โฆษณา คว้าช่องลำดับที่ 5 ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: TVDทุ่มงบ500ล.
ทำตลาด-โฆษณา
คว้าช่องลำดับที่ 5
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 19 คน
"TVD" คว้าช่องออกอากาศหมายเลข 5 ในแพลตฟอร์ม PSI-IPM-BIG 4 ออกอากาศโฮมช้อปปิ้ง ในไตรมาส 3/57 พร้อมทุ่มงบการตลาดและโฆษณา 500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้า มั่นใจรายได้ปีนี้เติบโต 15%



นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทได้ช่องลำดับที่ 5 ในแพลตฟอร์มหลักๆ ได้แก่ PSI, IPM และ BIG 4 รวมมีผู้ชมมากถึง 17 ล้านครัวเรือน ออกอากาศโฮมช้อปปิ้ง ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่ดีมาก เพราะจะสามารถเข้าถึงผู้ชมได้ก่อนและได้มากกว่าคู่แข่ง สำหรับแพลตฟอร์มของเคเบิลทีวีอย่าง CTH, TRUE Vision , และ CABLE TV ในจังหวัดต่างๆ (รวมผู้ชมกว่า 5 ล้านครัวเรือน) อยู่ระหว่างการจัดสรรหมายเลขช่องให้กับ TVD ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้

ขณะเดียวกันบริษัทได้เตรียมงบการตลาดและโฆษณากว่า 500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าทั้งออนไลน์ (Online) และ ออฟไลน์ (Off Line) ที่จะนำมาซึ่งการเติบโตของยอดขายบริษัทให้เพิ่มขึ้น ซึ่งยอดขายในช่วง 2 เดือนแรกถือว่าเข้าเป้า จนน่าจะส่งผลให้ปีนี้มีรายได้ 2,500 ล้านบาท เติบโต 15% จากปี 2556 ที่มีรายได้ 2,231.25 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 4.5-5.5% ตามเป้าหมายที่วางไว้

ทั้งนี้ บริษัทใช้ 5 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย 1.การขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่ม 2.เปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อสร้างความหลากหลายและแปลกใหม่ โดยปกติจะเปิดตัวสินค้าใหม่ปีละประมาณ 50-60 รายการ 3.ขยายฐานลูกค้าใหม่จับกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น 4.เพิ่มบริการเสริม เช่น การจัดส่งสินค้าไปให้ผู้บริโภค ซึ่งเป็นอีกช่องทางในการสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น และ 5.พัฒนาบุคลากรเพื่อให้เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพ มีความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งสามารถสื่อสารและตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าได้ทันที

นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมจัดตั้ง TVD Broker ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับประกันภัยภายในไตรมาส 1/57 นี้ พร้อมทั้งเปิดกิจการร่วมทุนกับ JML Direct On Hypermarkets โดยการนำเสนอสินค้ามากกว่า 400 รายการภายในไตรมาส 2/57 รวมถึงเปิด Shop @ Home Go LIVE ซึ่งเป็นช่องที่ 5 ในแพลตฟอร์มหลักๆ ภายในไตรมาส 3/57 และมีแผนเปิด TVDI Make Profit ภายในไตรมาส 4/57

ด้านภาวะตลาดโดยรวมมีการเติบโตขึ้น คาดว่าปีนี้น่าจะมีการเติบโตประมาณ 30% จากภาวะการแข่งขันในตลาด แม้ว่ากำลังซื้อในต่างจังหวัดจะลดลง 20-30% ตั้งแต่เดือนธ.ค. 56 เนื่องจากมีปัจจัยภัยแล้ง ซึ่งไม่เหมือนกับภัยน้ำท่วมที่จะได้รับเงินชดเชย ในขณะที่ภัยแล้งไม่มีจึงทำให้กำลังซื้อลดลง

ส่วนในต่างประเทศ บริษัทพร้อมลงทุนเพิ่มเติมเพื่อต่อยอดธุรกิจที่กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะที่ประเทศมาเลเซีย บริษัทได้ร่วมมือกับ TM (Telecom Malaysia) ในการนำเสนอช่องโฮมช้อปปิ้งใน IPTV : HPYY TV เป็นครั้งแรกในประเทศมาเลเซีย ขณะที่ในประเทศเวียดนามบริษัทได้ร่วมมือกับ 4 บริษัทโฮมช้อปปิ้ง ยักษ์ใหญ่ (Vietnam GS Homeshopping, Lotte, Saigon CJ, Home Shopping Vietnam) พร้อมเตรียมรองรับการดำเนินธุรกิจ Outbound Call Center ต่อไป

posted from Bloggeroid

เศรษฐกิจวิบัติยาว? คอลัมน์ วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2557 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: เศรษฐกิจวิบัติยาว?

คอลัมน์ วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 10 คน
วิกฤตการเมืองที่ยืดเยื้อมา 4 เดือนสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจแค่ไหน ม.หอการค้าไทยประเมินว่า เศรษฐกิจจะโตไม่เกิน 3% ต่างชาติหอบเงิน 2 แสนล้านไปลงทุนประเทศอื่นในอาเซียนแล้ว

ประธานสภาอุตสาหกรรมฯก็บอกว่า โครงการ 5 แสนล้านกำลังเคว้ง เพราะ BOI ไม่มีบอร์ดอนุมัติ รัฐบาลรักษาการตั้งบอร์ดไม่ได้ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจรากหญ้า พังพินาศเพราะรัฐบาลกู้เงินมาจ่ายจำนำข้าวไม่ได้

คำถามน่าสนใจคือ วิกฤตการเมืองจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยยาวนาน หรือเป็นแค่ระยะสั้น ช่วยกันไล่รัฐบาล มีนายกฯ คนกลาง ก็จบแล้ว (หรือรัฐบาลก็บอกว่าช่วยกันดันเลือกตั้งสำเร็จ มีรัฐบาลใหม่ ตั้งต้นใหม่)

พูดอย่างไม่เกรงใจ ภาคธุรกิจไทย นักวิเคราะห์ นักเล่นหุ้น มักปลอบใจตัวเองว่าเป็นแค่ปัญหาระยะสั้น เดี๋ยวก็จบ ยังไงๆ เมืองไทยก็น่าลงทุน เจรจาสงบศึกกันได้ เงินต่างชาติก็ไหลมาเทมา

เจรจาอะไร รบกันมา 8 ปีเข้าให้นี่แล้ว ไม่มีวี่แววหย่าศึก มีแต่แนวโน้มแตกหัก

ไม่อยากขาย “ช็อกซีเนม่า” แต่ชวนมองอีกด้านว่า ในขณะที่เมืองไทยมีหลายปัจจัยน่าลงทุน ก็มีหลายปัจจัยเป็นลบ โดยเฉพาะ “คนไทย” ที่มีปัญหาทั้งการศึกษา นิสัยใจคอ และที่โผล่ออกมาให้เห็นขณะนี้คือ “ทัศนคติ” ทางการเมือง

คนไทยไม่เหมือนชาติใดในโลก จริงๆ สะท้อนออกตั้งแต่ 6 ปีก่อนแล้ว มีประเทศไหนม็อบไล่รัฐบาลปิดสนามบิน ไม่แยแสว่าจะทำให้ใครวิบัติฉิบหายสักแค่ไหน

ครั้งนี้ก็ม็อบไล่รัฐบาลไม่เอาเลือกตั้ง ชัตดาวน์กรุงเทพฯ ยาวนานเกือบ 2 เดือน ฉิบหายแค่ไหนลองไปถามพ่อค้าแม่ขายย่านมาบุญครอง ราชประสงค์ จะได้คำตอบว่า แบะ แบะ... ไม่กล้าพูด เพราะบางคนก็เป็นม็อบเสียเอง กลัวเสียขบวน บางคนไม่เห็นด้วยแต่กลัวม็อบคุกคาม กลัวสาวกนกหวีดต่อต้าน

ทัศนคติทางการเมืองของคนไทยฝ่ายนี้คือ ถ้าเชื่อว่าตัวเองกำลังต่อสู้เพื่อศีลธรรมอันดีงาม เพื่อความเป็นไทย เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ก็พร้อมจะฉิบหายวายป่วงมันทุกอย่าง

บางคนอาจแย้งว่า อ้าว เสื้อแดงล่ะ ก็ปิดราชประสงค์ ไม่แยแสความฉิบหายวายป่วงเหมือนกัน แต่การลุกฮือของเสื้อแดงยังอยู่ในกฎเกณฑ์สากล ว่าเมื่อรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกเบียดบังอำนาจ ก็ต้องลุกขึ้นสู้

เอาละ ไม่ว่าข้างไหน นักลงทุนต่างชาติไม่สะกิดใจบ้างหรือ ว่า “สยามเมืองยิ้ม” ทำไมกลายเป็นยิ้มแสยะ ปลุกความเกลียดชัง คลั่งข้าง แทบจะไล่ล่าฆ่ากัน มันน่าจะมีอะไรผิดปกติ ใน “ความเป็นไทย” ที่ไม่รู้มาก่อน

พนักงานออฟฟิศคุณ ทำมาหากินในระบบทุน อยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาเป่านกหวีดไล่ “ทุนสามานย์” ไม่เอารถไฟความเร็วสูง ให้ถนนลูกรังหมดไปเสียก่อน

สหภาพ ปตท. เงินเดือนโบนัสเบิกบาน แต่สมัครสมานกับพวก “ทวงคืน ปตท.” ถ้าชนะจะให้ลดราคาเบนซิน 5 บาท

ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่นี้ มีด้านที่มาจากแนวคิดพัฒนาประเทศที่ต่างกันสิ้นเชิง ระหว่าง “ระบอบทักษิณ” ที่นำประเทศกระโจนสู่โลกาภิวัตน์ กับ “ระบอบลูกรัง” อุดมคติเชิงศีลธรรมของคนชั้นกลางเก่า ซึ่งตีความ “พอเพียง” อย่างไม่สอดคล้องกับความจริงของโลก

ในม็อบ กปปส.อาจมีคนทำมาหากินที่ต้องการแค่ “ต้านโกง” แต่ก็มีไม่น้อย ที่ “ต้านทุน” จนฉิบหายวายป่วงอย่างไรก็ได้

คนพวกนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เศรษฐกิจวิบัติอย่างไรไม่เดือดร้อน ส่วนหนึ่งก็เป็น NGO ที่มองโลกกลับข้าง เห็นมิคสัญญีเป็นการเกิดใหม่ของความดีงาม

นี่ยังไม่ต้องพูดถึง “กองทัพธรรม” สันติอโศก กินผักกินหญ้า อาบน้ำ 5 ขัน

พูดอย่างนี้ไม่ใช่โลกาภิวัตน์ถูกหมด แต่อีกข้างก็สุดโต่ง การปะทะของ 2 แนวทางไม่จบง่ายแน่นอน และจะย้อนกลับไปที่คำถาม เมืองไทยยังน่าลงทุนอยู่หรือ

posted from Bloggeroid

‘บีทีเอส’ฉลุยผ่านรอบแรก

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ‘บีทีเอส’ฉลุยผ่านรอบแรก

บริษัทจดทะเบียน วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 70 คน
BTS ฉลุยผ่านรอบแรกเข้าชิงรับงานพัฒนาระบบตั๋วร่วม 430 ล้านบาท สนข.ให้เวลายื่นข้อเสนอเทคนิค-ราคาถึงปลายเม.ย.นี้ คาดไม่เกิน พ.ค. 57 ได้ตัวผู้ชนะประมูล



นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยถึงความคืบหน้า โครงการจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House: CCH) ระบบตั๋วร่วม วงเงิน 430 ล้านบาทว่า ขณะนี้ สนข.ได้พิจารณาคัดเลือกผู้ยื่นเอกสารแสดงความสนใจ (Expression of Interest: EOI) ทั้ง 6 รายแล้ว ปรากฏว่ามีผู้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น 5 ราย ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 กลุ่มล๊อตเต้ จากประเทศเกาหลีใต้ รวมกับกลุ่มบริษัท ปัญญาคอนซัลแตนท์ จำกัด

กลุ่มที่ 2 กลุ่ม อินดา INDRA จากสเปน รวมกับกลุ่มบริษัท ไทยบิทิสคิวตี้ปริ้นติ้ง จำกัด กลุ่มที่ 3 BSV ประกอบด้วย บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือ BTSC เป็นแกนนำ ร่วมกับ บริษัท สมาร์ทแทรฟฟิค จำกัด และกลุ่มวิกซ์จากออสเตรเลีย กลุ่มที่ 4 AT ประกอบด้วยบริษัทไทยทรานสมิทชั่นอินดัสตรี้ ร่วมกับกลุ่มเอเซอร์ และกลุ่มที่ 5 SM ประกอบด้วย กลุ่ม MSI จากสิงคโปร์ ร่วมกับบริษัท สามารถ คอมเทค จำกัด ส่วนกลุ่มที่ไม่ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นคือ กลุ่มซีล็อกซ์ (SEROX) ที่รวมกันระหว่างอเมริกากับออสเตรเลีย เนื่องจากเอกสารไม่ครบ

“ทางกรรมการประกวดราคาได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังกลุ่มที่ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นทั้ง 5 รายแล้วว่า ให้เตรียมมายื่นข้อเสนอทางเทคนิคและราคาภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าไม่เกินปลายเดือนพฤษภาคม จะได้ข้อสรุปว่าใครคือผู้รับงานจากนั้นก็นำส่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาอนุมัติ” นายพีระพล กล่าว

นายพีระพล กล่าวต่อว่า ผู้ที่ได้รับงานจะมีเวลาทำงาน 30 เดือน โดย 6 เดือนแรก คือการออกแบบระบบ 6 เดือนต่อมา ดำเนินการติดตั้ง และ 6 เดือนถัดไป ทำการทดสอบการใช้งาน โดยต้องเลือกระบบนำร่องมา 1 รูปแบบจาก 2 รูปแบบที่ สนข. กำหนด คือ 1.ใช้ตั๋วร่วมระหว่างรถเมล์ ขสมก.กับ รถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้าใต้ดิน และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์ หรือ 2.ใช้ตั๋วร่วมระหว่างทางด่วนกับรถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้าใต้ดิน และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์

นอกจากนี้ล่าสุดกระทรวงคมนาคมยังได้แต่งตั้งนายชูศักดิ์ เกวี รองปลัดกระทรวงคมนาคมด้านโครงสร้างพื้นฐานมาเป็นประธานคณะกรรมการจัดตั้งองค์กรบริหารตั๋วร่วม ซึ่งเบื้องต้นวางไว้ 3 รูปแบบ คือ 1.บริษัทเอกชน 2.ตั้งเป็นหน่วยธุรกิจ (BU) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก่อนแปลงมาเป็นเอกชนในภายหลัง และ 3.ตั้งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ โดยก่อนหน้านี้บริษัทที่ปรึกษาได้เสนอให้ใช้รูปแบบที่ 2 เพราะจะจัดตั้งได้เร็วที่สุด ไม่มีขั้นตอนยุ่งยาก แต่ก็ยังมีการถกเถียงในเรื่องข้อดีข้อเสีย จึงยังไม่สามารถสรุปได้

“ตามขั้นตอนที่กำหนดองค์กรนี้จะต้องเริ่มทำหน้าที่ในช่วง 6 เดือนที่ 2 คือช่วงติดตั้งระบบตั๋วร่วม เพื่อให้มาร่วมทำงานกับผู้รับงานไปเลย ซึ่งตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะทันหรือไม่ เพราะการจัดตั้งต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่เราในฐานะที่เป็นข้าราชการประจำก็ต้องเตรียมเรื่องทุกอย่างให้พร้อมไว้ก่อน” นายพีระพล กล่าว

posted from Bloggeroid

“เสี่ยยักษ์” ติดโผหุ้นใหญ่ - ราคาเป้าหมาย 10 บาท ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2557 

“เสี่ยยักษ์” ติดโผหุ้นใหญ่ - ราคาเป้าหมาย 10 บาท
ข่าวหน้าหนึ่ง วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 14 คน
“กองทุนฯ-ขาใหญ่” นกรู้ว่าหุ้น JAS แนวโน้มอนาคตสดใส ไล่เก็บหุ้นเข้าพอร์ตยกใหญ่ “เสี่ยยักษ์” ติดโผหุ้นใหญ่ หลังเข้าซื้อกว่า 43.72 ล้านหุ้น “โกลด์แมน แซคส์-ภัทร-กบข.” ไม่ยอมน้อยหน้าร่วมช้อนซื้อเข้าพอร์ตด้วย ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต ให้ราคาเป้าหมายเกิน 10 บาท รับจัดตั้งอินฟราฯฟันด์-ธุรกิจบรอดแบนด์สดใส


ผู้สื่อข่าวรายงานข้อมูลโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ล่าสุด ณ วันปิดสมุดทะเบียน วันที่ 26 ก.พ. 2557 พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแบบมีนัยสำคัญ คือ ปรากฏรายชื่อของนายวิชัย วชิรพงศ์ (เสี่ยยักษ์) นักลงทุนรายใหญ่ ถือหุ้นอยู่ 43,724,000 หุ้น หรือคิดเป็น 0.61% , GOLDMAN SACHS&CO ถือหุ้นอยู่ 43,411,000 หุ้น หรือคิดเป็น 0.61%, บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) 38,098,800 หุ้น หรือคิดเป็น 0.53% และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (EQ-TH) ถือหุ้นอยู่ 35,700,000 หุ้น หรือคิดเป็น 0.50%

การเข้าซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ดังกล่าว มาจากความน่าสนใจ 3 ปัจจัยด้วยกัน กล่าวคือ 1) เรื่องการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานจัสมิน (IFF) ที่จะเริ่มมีความชัดเจนช่วงไตรมาส 2/57 นี้ 2) แนวโน้มอัตราการเติบโตของธุรกิจบรอดแบนด์ค่อนข้างสูง 3) ราคาหุ้นในกระดานปัจจุบันยังไม่สะท้อนพื้นฐานเชิงบวกอย่างแท้จริง จากประเด็นเหล่านี้ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานและอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ระบุว่า JAS มีแนวโน้มอัตรากำไรต่อหุ้นเติบโตได้ดี จากการเข้าถึงของบรอดแบนด์ในประเทศไทยเพียง 24%, จำนวนครัวเรือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3% หรือปีละ 450,000 ครัวเรือน, ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมมาบริโภคข้อมูลมากขึ้น และคอนเทนต์และแอพพลิเคชั่นใช้ข้อมูลมากขึ้น

โดยคาดว่าจำนวนสมาชิกบรอดแบนด์ JAS สามารถเพิ่มเป็น 1.6 ล้านราย, 1.8 ล้านราย และ 2 ล้านราย ช่วงปี 2557-2559 ตามลำดับ จาก 1.4 ล้านรายช่วงปี 2556 ส่วนกำไรต่อหุ้น JAS เติบโตเฉลี่ยปีละ 24% ในปี 2556-2559 นอกจากนี้ JAS มีแผนการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) ที่คาดว่าจะเสร็จสิ้นช่วงไตรมาส 2/57

สำหรับการตั้งกองทุน IFF ของ JAS ระดมทุน 50,000-70,000 ล้านบาท จาก IFF เทียบประมาณการมูลค่าคุ้มทุนสำหรับ IFF ที่ 45,000 ล้านบาท หาก JAS สามารถระดมทุนตามเป้าหมาย กองทุนฯจะเพิ่มมูลค่าให้ JAS ประมาณ 0.70-1.30 บาทต่อหุ้น เพิ่มจากราคาเป้าหมายปัจจุบัน 10 บาท

ดังนั้นจึงเชื่อว่า JAS จะเก็บเงินที่เหลือสุทธิหลังนำไปลงทุนต่อในกองทุนฯและจ่ายคืนหนี้ และเร่งลงทุนใน FTTH และใช้เงินที่เหลือซื้อหุ้นคืนหรือจ่ายเงินปันผลพิเศษสูงถึง 1 บาทหรืออัตราปันผล 13% ช่วงปี 2557 และคาดการณ์จำนวนสมาชิก FTTH เติบโตจาก 12,449 รายในปี 2556 เพิ่มเป็น 4 แสนราย ช่วงปี 2561 โดยหากมีการจัดตั้ง IFF จำนวนสมาชิกสามารถเพิ่มเป็น 1 ล้านราย ช่วงปี 2561


*ล้อมกรอบ :


รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS


.......................................................................................................................................................................

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จำนวนหุ้น สัดส่วน

.......................................................................................................................................................................

นายพิชญ์ โพธารามิก 1,844,046,870 25.84%

บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 804,002,925 11.26%

ABN AMRO NOMINEES SINGAPORE PTE LTD 304,233,500 4.26%

NORTRUST NOMINEES LTD. 116,491,000 1.63%

ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 115,611,377 1.62%

นาย เกริกไกร ไตรบัญญัติกุล 107,236,600 1.50%

HSBC BANK PLC-SAUDI ARABIA MONETARY 86,335,500 1.21%

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด 79,223,200 1.11%

กองทุนเปิด ไทย แวลู โฟกัส อิควิตี้ ปันผล 62,288,000 0.87%

STATE STREET BANK EUROPE LIMITED 61,830,334 0.87%

กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี ไฮ-ดิวิเดนด์ ฟันด์ 53,486,000 0.75%

นาง วลัยพร สมภักดี 53,233,700 0.75%

CHASE NOMINEES LIMITED 15 52,451,380 0.73%

THE BANK OF NEW YORK (NOMINEES) 51,052,870 0.72%

BNY MELLON NOMINEES LIMITED 51,042,500 0.72%

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 47,454,900 0.66%

EAST FOURTEEN LIMITED-FORWARD 45,305,325 0.63%

นาย วิชัย วชิรพงศ์ 43,724,000 0.61%

GOLDMAN SACHS & CO 43,411,000 0.61%

นาย สิทธิชัย มาธนชัย 43,176,600 0.60%

CHASE NOMINEES LIMITED 1 42,185,879 0.59%

กองทุนเปิด กรุงไทย เฟล็กซิเบิ้ล ฟันด์ 41,796,000 0.59%

CITIBANK NOMINEES SINGAPORE 41,500,000 0.58%

บริษัทกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) 41,321,500 0.58%

บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) 38,098,800 0.53%

กองทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (EQ-TH) 35,700,000 0.50%

..........................................................................................................

ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

posted from Bloggeroid

วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

เล็กเซียวหงส์ คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: เล็กเซียวหงส์

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 9 คน
เล็กเซียวหงส์ :หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับประจำวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ที่ 7-9 มีนาคม พ.ศ. 2557 ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาด 1,352.21 จุด บวก 0.57 จุด มูลค่าซื้อขาย 29,829 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 976 ล้านบาท นับตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 5,662 ล้านบาท นั่นถือเป็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน

.................................................................

หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศ ฉบับประจำวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ที่ 7-9 มีนาคม พ.ศ. 2557 ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาด 1,352.21 จุด บวก 0.57 จุด มูลค่าซื้อขาย 29,829 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 976 ล้านบาท นับตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 5,662 ล้านบาท นั่นถือเป็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน*หุ้น TRUE รูดลงกว่า 3% หลัง “มูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส” ประกาศปรับลดเครดิตหุ้นกู้ TRUE จากระดับ B3 ลงสู่ระดับ Caa1 ซ้ำเติมด้วยบิ๊กล็อตหุ้น TRUE กว่า 42 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 6.65 บาท ราคาต่ำกว่าในกระดานซะอีก ทำให้ผู้ถือหุ้น TRUE ชอกช้ำระกำใจจริงๆ ทั้งที่ TRUE พอจะมีข่าวดีเรื่องการ “ล้างขาดทุนสะสมกว่า 64,800 ล้านบาท” จากวิธีการลดทุนด้วยราคาพาร์และกำลังจะมีพันธมิตรใหม่ แต่ทว่าเรื่อง “มูดี้ส์ ปรับลดเครดิต” กลายเป็น “เงาดำปกปิดข่าวดี” ไปโดยสิ้นเชิง*หุ้น PTT ขึ้น XD วันแรก ราคาปรับลง 8 บาท (เท่ากับปันผล) เป็นการกดดัชนีหุ้นไทยลงไปกว่า 2.5 จุด แต่ทว่า...หากมองกันแบบยาวๆ ราคาหลุด 300 บาทแบบนี้ ถือเป็นจังหวะน่าช้อนซื้ออย่างยิ่ง เพราะดูจากราคาเป้าหมายปีนี้ 400 บาท ถือว่าอัพไซด์ไม่น้อยทีเดียว*หุ้น TTA ฝ่าแนวต้าน 20 บาท มาได้แบบไม่ค่อยเหนื่อยมากนัก ถือว่าเรียกความมั่นใจด้วยการ “เทิร์นอะราวด์” ได้ไม่น้อยทีเดียว โดยมีแนวต้านถัดไปแถวๆ 25-26 บาท*หุ้น RML ราคาร้อนแรงมาหลายวัน แว่วว่าปีนี้ข่าวดีเพียบ ไม่ว่าจะเป็น P/E ต่ำแค่ 6 เท่า แนวโน้มได้เห็นกำไรระดับ 1,000 ล้านบาท แถมรายได้เติบโตกว่าปีก่อนแน่นอน จนกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนเข้าเก็งกำไรอย่างต่อเนื่อง ทำให้หุ้น RML ขึ้นทำเนียบ “หุ้นเทิร์นอะราวด์” ได้อย่างเต็มตัวทีเดียวหุ้น AI ทำนักลงทุน “ต๊กกะใจ” เมื่อจู่ๆ กำไรปี 2556 เหลือแค่ 260 ล้านบาท จากเดิม 1,126 ล้านบาท (หายไปกว่า 861 ล้านบาท) จริงๆ แล้ว เป็นปัญหาทางเทคนิค เพราะเดิม AI บันทึกกำไรจากเงินลงทุน AIE เข้าเป็นกำไรพิเศษ แต่ตามมาตรฐานบัญชี AI ถือหุ้นถึง 60% ดังนั้น “ต้องบันทึกในส่วนของผู้ถือหุ้น” จึงทำให้ส่วนของผู้ถือเพิ่มขึ้นอีก 861 ล้านบาท แต่กำไรจะลดลง 861 ล้านบาท แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าปันผล 2 บาท จะจ่ายเหมือนเดิมหรือไม่ ล่าสุดผู้บริหารการันตีว่า “จ่ายเท่าเดิม” เฮ้อ..พอค่อยยังชั่วหน่อย.!?***ปิดท้ายกันเช่นเคยกับข่าวหุ้นออนทีวี กับรายการ “ข่าวหุ้น เจาะตลาด” ช่วงวันจันทร์-ศุกร์เวลา 13.05-13.30 น. หรือดูย้อนหลังผ่าน http://www.springnewstv.tv/program/insidestock และรายงานสถานการณ์หุ้นช่วงเปิดตลาดเช้า Skype กันแบบสดๆ จากกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ ผ่านรายการ “บันทึกเศรษฐกิจ: Economic Journal” ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.20-11.30 น. การันตีข้อมูลข่าวสารแน่นเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง เพราะทุกโจทย์เรื่องหุ้น หาตอบโจทย์ได้ที่ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” เท่านั้น..!!!

posted from Bloggeroid

ปี  กลุ่มการเงิน-ก่อสร้าง-เทคโนโลยีกำไรเพิ่ม

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ปี56บจ.กำไร8แสนล้าน
หุ้นไทยฟื้น-ต่างชาติซื้อสุทธิ
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 3 คน
ปี 56 บจ.โชว์กำไร 8 แสนล้าน

กลุ่มการเงิน-ก่อสร้าง-เทคโนโลยีกำไรเพิ่ม



“ตลาดหลักทรัพย์” เผยกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2556 เกือบ 8 แสนล้านบาท เติบโต 7% มียอดขายรวมเกิน 10 ล้านล้านบาทต่อเนื่อง เป็นปีที่ 2 แม้ว่าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าและเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว หุ้น PTT-PTTEP-SCB-KBANK และ SCC ติด 5 อันดับกำไรสูงสุด ขณะที่ต่างชาติกลับมาซื้อเฉลี่ย 4,600 ล้านบาท


นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 491 บริษัท หรือ 96.84% จากทั้งหมด 507 บริษัท (ไม่รวมกลุ่ม NC และ NPG) นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 56 แล้ว ที่มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงาน 415 บริษัท คิดเป็น 84.52% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

โดยยอดขายรวมปี 2556 อยู่ที่ 10,983,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.89% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 789,386 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.22% ด้านประสิทธิภาพการทำกำไรปีนี้เทียบกับปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มจาก 17.64% เป็น 18.44% อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 7.03%เป็น 7.19% ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.24 เท่า

“ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2556 เติบโตได้แม้ว่าเศรษฐกิจโลก จะฟื้นตัวช้า ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าของธุรกิจที่อยู่ต้นน้ำ (Upstream) เช่น ธุรกิจพลังงาน ปิโตรเคมี เหล็ก เกษตรและอาหาร อีกทั้งมีผลกระทบจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนตามเงินบาทที่อ่อนค่า อย่างไรก็ตามบริษัทในภาคการเงิน ภาคอสังหาริมทรัพย์

รวมถึงบางธุรกิจภาคบริการ เช่น ธุรกิจค้าปลีก โรงแรม สื่อและสิ่งพิมพ์ รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ที่ได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของสังคมเมือง การกระจายความเสี่ยงพื้นที่ให้บริการและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรม ยังมีผลการดำเนินงานเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าแม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศมีการชะลอตัวต่อเนื่องก็ตาม”

สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคของครัวเรือน รวมถึงการลงทุนเอกชนที่ลดลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปีที่แล้ว ทำให้เห็นอัตราการเติบโตยอดขายและกำไรบริษัทจดทะเบียนช่วงไตรมาส 3-4 ชะลอตัวต่อเนื่องตามลำดับทั้งในภาคการผลิต ภาคบริการ ภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคการเงิน

อย่างไรก็ตามหากดูข้อมูลตามประเภทธุรกิจเพิ่มเติม พบว่า ธุรกิจอาหารและธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กลับมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสวนทางกับภาพรวม ธุรกิจดังกล่าวที่ได้รับประโยชน์จากการส่งออก ตามวงจรเศรษฐกิจโลกที่อยู่ช่วงเริ่มฟื้นตัว

ทั้งนี้บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรปี 56 สูงสุด 5 อันดับแรก คือ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรก จาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ทรัพยากรและอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

สำหรับหมวดธุรกิจที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรกจาก 28 หมวดธุรกิจ ได้แก่ พลังงานและสาธารณูปโภค ธนาคาร และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยทั้ง 3 หมวดมีกำไรสุทธิรวม 469,417 ล้านบาท คิดเป็น 59.47% ของกำไรสุทธิรวมทั้งหมด และยอดขายรวมของทั้ง 3 หมวดคิดเป็น 54.15% ของยอดขายรวมทั้งหมด

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า เดือนมี.ค. 57 นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเฉลี่ย 4,600 ล้านบาท หลังจากที่ผ่านมา มีการขายสุทธิต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน มียอดขายสุทธิ 3.3 หมื่นล้านบาท แต่เริ่มเห็นสัญญาณนักลงทุนต่างชาติมีการขายน้อยลงและกลับมาซื้อหุ้นไทยแล้ว โดยสาเหตุที่ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยมาจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปี 2556 ออกมาดี โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 15% มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 7.2% และการที่กปปส.คืนพื้นที่ชุมนุม ทำให้บรรยากาศทางการเมืองเริ่มดีขึ้น

ส่วนผลกระทบเรื่องปัญหายูเครนกับรัสเซีย เชื่อว่าจะมีผลกระทบทางอ้อมในด้านจิตวิทยาเท่านั้น โดยเชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะกระทบตลาดหุ้นในฝั่งยุโรปมากกว่า

แม้ตลาดหุ้นไทยขณะนี้จะปรับตัวลดลงมาจากปีที่แล้ว ปัจจุบันดัชนีอยู่ที่ 1,352 จุด แต่ถือว่าสูงสุดรอบ 19 ปี ไม่นับรวมปี 56 ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี ที่บริษัทที่มีแผนเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ได้เตรียมตัวและหาจังหวะการเสนอขายหุ้น โดยเฉพาะช่วงที่ดัชนีปรับขึ้น เพราะว่าโอกาสที่ดัชนีจะปรับขึ้นอยู่ที่ประมาณ 200 จุด เช่น เดียวกับทางลงของ SET สามารถจะเหวี่ยงลงมาได้ 200 จุดเช่นเดียวกัน

“หุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลง 200 จุด ดังนั้น หากจะขายก็ควรเลือกจังหวะในช่วงที่ปรับขึ้น สำหรับ 2 เดือนที่ผ่านมามีบริษัทที่ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นอย่างต่อเนื่องไม่ได้มีการลดจำนวนลงไป จากนี้ยังมีบริษัทที่เตรียมจะขายหุ้นอยู่หลายบริษัท แต่จังหวะในการขายอาจมีการเลื่อนไปบ้างหากภาวะตลาดไม่ดี” นายจรัมพร กล่าว

อย่างไรก็ตามตลาดหลักทรัพย์ มีแผนให้ความรู้และร่วมมือกับโบรกเกอร์ในการขยายฐานนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักลงทุนเปิดบัญชีใหม่ได้ระดับเดียวกับปีที่แล้ว ที่มีการเปิดบัญชีใหม่ถึง 1 แสนบัญชี จาก 3-4 ปีที่ผ่านมาจะมีการเปิดบัญชีใหม่เพียงปีละ 2-3 หมื่นบัญชีเท่านั้น

posted from Bloggeroid

TRUE และลดอันดับความน่าเชื่อถือเครือบริษัท และอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีประกัน  ลงสู่ระดับ Caa1 (มีความเสี่ยงที่สำคัญ) จากระดับ B3 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: ช่องว่างที่ถ่างกว้าง

คอลัมน์ วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 6 คน
เหมือนฟ้าฟาดเข้ากลางหว่างใจ เพราะวันเดียวกันกับที่ผู้บริหารของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE นั่งประกาศแผนธุรกิจทั้งปี 2557 อย่างสวยหรูว่าจะกลับมาทำกำไร และภายใน 5 ปีข้างหน้า จะสร้างฐานลูกค้าธุรกิจโทรคมนาคมได้มากถึง 100 ล้านคน (ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรของไทยทั้งประเทศ) ข่าวร้ายจากบริษัทเรตติ้งระดับโลกก็ทำให้แผนการที่วาดเอาไว้สวยงามมีอันขี้เหร่เกือบทั้งหมด

นายโยชิโอะ ทากาฮาชิ ผู้ช่วยรองประธานและนักวิเคราะห์ สำนักงานสาขาฮ่องกงของมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือเครือบริษัทของ TRUE และลดอันดับความน่าเชื่อถือเครือบริษัท และอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีประกัน ลงสู่ระดับ Caa1 (มีความเสี่ยงที่สำคัญ) จากระดับ B3 (เก็งกำไรสูง)

ตีความตามเกณฑ์ของมูดี้ส์ (ดูตารางประกอบ) แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของ TRUE ซึ่งเป็นการสรุปผลการทบทวนปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือที่มูดี้ส์ได้เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2556 อยู่ในเชิงลบ ที่สะท้อนถึงภาวะธุรกิจ และการเงินที่เปราะบาง แม้ว่าบริษัทได้ทำการปรับลดระดับหนี้ลง ด้วยการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจัดตั้งขึ้นในไตรมาส 4 ของปี 2556

ปัญหาของ TRUE ในสายตาของมูดี้ส์ คือ ระดับหนี้ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 แสนล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ เมื่อพิจารณาจากกระแสเงินสดที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก (1) ผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ (2) การลงทุนขนาดใหญ่ที่กำลังดำเนินอยู่ในการให้บริการธุรกิจ 3G และ 4G (3) รวมทั้งแนวโน้มการจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นหลังจากการประมูลคลื่นความถี่ 1.8 กิกะเฮิรตซ์ ในปีนี้ ทำให้บริษัทมีแนวโน้มที่จะยังคงต้องพึ่งพาการกู้ยืมจากธนาคารในประเทศ ทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่า การสนับสนุนที่แข็งแกร่งดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่

ข้อสรุปท้ายสุดของมูดี้ส์คือ การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทจึงไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในระยะใกล้ เว้นเสียแต่ว่าบริษัทจะทำการปรับปรุงภาวะทางการเงินและสภาพคล่องขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการดำรงสัดส่วนหนี้/กำไรก่อนรายการ ดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 6.0-6.5 เท่า เป็นเวลาระยะหนึ่ง และให้กระแสเงินสดติดลบอยู่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท ถึง 1.0 หมื่นล้านบาท

คำเตือนของมูดี้ส์เป็นสิ่งที่ดูเหมือนผู้บริหารจะรับทราบพอสมควร โดยนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร TRUE แย้มว่า อาจจะมีการเพิ่มทุนใหม่เพื่อเปิดทางพันธมิตรเข้ามาถือหุ้น 25% ในช่วงครึ่งหลังปี ส่วนเป้าหมายกลับมาทำกำไรนั้น ก็แย้มอีกเช่นกันว่าเป็นไปได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน TRUEGIF และการทำกำไรขั้นต้น เพื่อเตรียมพร้อมสู่การกำไรเต็มที่ในปี 2558

ที่สำคัญ ยังมีการเปิดช่องเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า โอกาสที่ TRUE จะขายสินทรัพย์ที่เป็นไฟเบอร์ ออพติก ให้กับกองทุน TRUEGIF ในเฟส 2 ก็ยังไม่ทำให้เกิดทางตัน เพียงแต่ยังมีคำถามตามมาว่า ลูกค้าที่ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทรูมูฟจะเติบโต 12-13% จากปีก่อน ส่วนลูกค้าบรอดแบนด์ จะเพิ่มอีก 4-5 แสนรายจากสิ้นปี 56 มีจำนวน 1.8 ล้านราย และลูกค้าทรูวิชั่นส์ จะเพิ่มอีก 4-5 แสนรายจากปีก่อนมี 2.4 ล้านราย ตามที่วาดเอาไว้ได้จริงหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่ยังต้องรอการพิสูจน์

อย่าลืมว่า นายศุภชัยเองก็พูดไว้เมื่อต้นปี 2556 (ที่นักลงทุนจำนวนมากอาจลืมไปแล้ว) ว่า ปี 2556 จะเป็นปีที่มีกำไรแน่นอน ซึ่งผลลัพธ์ปรากฏอยู่ในรายงานชี้แนะของมูดี้ส์ ว่าเป็นเช่นใด

............

รายละเอียดอันดับเรตติ้งของบริษัทชั้นนำของโลก

Moody's

S&P

Fitch

rating description

Long-term

Short-term

Long-term

Short-term

Long-term

Short-term

Aaa

P-1

AAA

A-1+

AAA

F1+

Prime



A1

A+

A-1

A+

F1

Upper medium grade



Baa1

BBB+

BBB+

Lower medium grade



Baa2

P-3

BBB

A-3

BBB

F3



Ba1

Not prime

BB+

B

BB+

B

Non-investment grade
speculative



B1

B+

B+

Highly speculative



Caa1

CCC+

C

CCC

C

Substantial risks



Caa2

CCC

Extremely speculative



Caa3

CCC-

Default imminent with little
prospect for recovery

posted from Bloggeroid

AIการันตีปันผล2บาท แก้ไขงบปี56ไม่กระทบ ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: AIการันตีปันผล2บาท
แก้ไขงบปี56ไม่กระทบ
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 4 คน
ผู้บริหาร "AI" ยืนยันแก้ไขงบการเงินปี 56 ไม่กระทบจ่ายปันผลหุ้นละ 2 บาทแน่นอน ผู้บริหารลั่นสามารถจ่ายจากงบเดี่ยวได้ แม้ปรับวิธีบันทึกกำไรขายหุ้น AIE ขณะที่ตลท.สั่ง AI ชี้แจงสาเหตุปรับปรุงงบปี 56 ภายในวันที่ 10 มี.ค.นี้



นายณรงค์ ธารีรัตนาวิบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท เอเชียน อินซูเลเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ AI เปิดเผยว่า สำหรับกรณีที่ทางบริษัทแจ้งแก้ไขงบการเงินรวมงวดปี 2556 จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการจ่ายเงินปันผลจำนวน 2 บาทต่อหุ้นที่บริษัทได้เคยประกาศไว้ และจะไม่กระทบต่อสถานะการเงินของบริษัทอย่างแน่นอน เนื่องจากทางบริษัทยังสามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้จากในส่วนของงบเดี่ยวและกำไรดำเนินงาน

ดังนั้น ถึงแม้รายการกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนของบริษัท เอไอ เอนเนอร์จี จำกัด (มหาชน) หรือ AIE มูลค่ารวม 861 ล้านบาท ได้ถูกนำมาบันทึกในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ จากเดิมบันทึกในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ จะไม่กระทบต่อการจ่ายปันผลอย่างที่หลายฝ่ายกังวล รวมถึงบริษัทยังมั่นใจว่าทิศทางการดำเนินงานทั้งในส่วนของ AI และ AIE ในช่วงอนาคตยังคงมีศักยภาพและสามารถสร้างการเติบโตได้ดีต่อเนื่อง

“แม้มีการปรับเปลี่ยนวิธีบันทึกรายการ แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อกรณีการจ่ายเงินปันผลจำนวน 2 บาทให้กับนักลงทุน เพราะทางบริษัทยังสามารถจ่ายปันผลจากตัวโอเปอเรชั่นและกำไรดำเนินงาน รวมถึงยังจ่ายจากตัวงบเดี่ยวของบริษัทได้” นายณรงค์ กล่าว

ขณะที่ในช่วงวานนี้ (6 มี.ค.) ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประกาศให้ AI ชี้แจงการแก้ไขกำไรสุทธิงวดปี 2556 ที่ลดลงเหลือเพียง 260 ล้านบาท จากเดิมที่แจ้งไว้ 1,121 ล้านบาท โดยตามที่ AI ได้นำส่งงบการเงินฉบับตรวจสอบประจำปี 2556สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2556 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ และเผยแพร่ต่อผู้ลงทุนผ่านระบบข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงวันที่ 17 ก.พ. 2557 ซึ่งงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวมได้รับรู้รายการกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทย่อย 861 ล้านบาท และแสดงกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัท 1,121 ล้านบาท

จากนั้นต่อมาเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2557 ทางบริษัทได้นำส่งงบการเงินฉบับแก้ไข โดยปรับปรุงรายการกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทย่อย (AIE) ที่เคยรับรู้ในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จรวม 861 ล้านบาท มาบันทึกในส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ และส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทตามงบการเงินฉบับแก้ไขลดลงเหลือเพียง 260 ล้านบาท

ดังนั้น เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างครบถ้วน ทางตลาดหลักทรัพย์ฯจึงขอให้บริษัทชี้แจงที่มาของรายการและสาเหตุที่บริษัทต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเลขกำไรสุทธิในงบการเงินประจำปี 2556 ดังกล่าว จากการรับรู้กำไรการขาย AIE ในงบกำไรขาดทุนเป็นรับรู้ในส่วนของผู้ถือหุ้น

รวมทั้งผลกระทบต่อฐานะการเงินของ AI และการแก้ไขตัวเลขกำไรสุทธิดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อการจ่ายเงินปันผลที่ AI ได้ประกาศจ่ายที่อัตราหุ้นละ 2 บาทหรือไม่ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯขอให้ AI ชี้แจงข้อมูลดังกล่าวภายในวันที่ 10 มี.ค. 2557 และขอให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินของบริษัทด้วยความระมัดระวังเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน

ขณะที่ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น AI ในช่วงวานนี้ ได้ปิดการซื้อขายอยู่ที่ระดับ 13.00 บาท ปรับลดลง 0.60 บาท หรือคิดเป็นลดลง 4.41% เมื่อเทียบกับราคาปิดก่อนหน้าที่ระดับ 13.60 บาท โดยทำราคาสูงสุดระหว่างวัน 13.50 บาท ต่ำสุดของวัน 13.00 บาท มีมูลค่าการซื้อขายรวม 129 ล้านบาท

posted from Bloggeroid

TRUEฟุ้งปีนี้พลิกกำไร มูดี้ส์หั่นเครดิตลงCaa1 ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557 

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: TRUEฟุ้งปีนี้พลิกกำไร
มูดี้ส์หั่นเครดิตลงCaa1
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 6 คน
"TRUE" แย้มผลงานปี 57 พลิกกลับมาเป็นกำไร หลังคุมค่าใช้จ่าย-รายได้โตต่อเนื่อง 8-9% จากปีก่อน แถมบุ๊คกำไรพิเศษ 5 พันล้านบาท พร้อมเปิดทางพันธมิตรถือหุ้นไม่เกิน 25% มูดี้ส์ฯปรับลดอันดับเครดิตลงสู่ระดับ Caa1 จากระดับ B3 เหตุกังวลสถานะการเงิน


นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า ในปี 2557 มีโอกาสที่ผลประกอบการของบริษัทจะพลิกกลับมามีกำไรทางบัญชีได้ เนื่องจากในปีนี้บริษัทจะควบคุมค่าใช้จ่ายให้ลดลง ขณะที่รายได้เติบโตต่อเนื่อง

รวมทั้งในปีนี้จะมีการบันทึกกำไรทางบัญชีจากการสร้างและส่งมอบเสาโทรคมนาคมจำนวน 3,000 ต้น เข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ทรูโกรท หรือ TRUEIF คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท และในปี 2558 มีบันทึกกำไรทางบัญชีจากการสร้างและส่งมอบเสาโทรคมนาคมอีก 3,000 ต้น เข้ากองทุน TRUEIF มูลค่าไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทยังมีการบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์โครงข่าย 2G ของทรูมูฟ ประมาณ 500 ล้านบาทต่อไตรมาส จนถึงเดือนก.ย. 2557 รวมเป็นเงินประมาณ 1.5 พันล้านบาท

“ในปี 56 เราบันทึกด้อยค่าโครงข่าย 2G ประมาณ 3 พันล้านบาท และในปี 57 เราจะเข้าประมูลคลื่น 1800MHz เพื่อให้บริการ 2G ต่อไปได้ด้วย ซึ่งถ้าประมูลได้เราจะกลับมาบันทึกเป็นกำไรจากที่บันทึกการด้อยค่าโครงข่าย 2G กลับมา 2-3 พันล้านบาทก็เป็นได้ แต่ถ้าประมูลไม่ได้ก็ต้องบันทึกด้อยค่าโครงข่าย 2G ต่อไปถึงเดือนก.ย. 57 ไตรมาสละ 500 ล้านบาท หรือราว 1.5 พันล้านบาท” นายศุภชัย กล่าว

ทั้งนี้ ในปี 2557 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากการให้บริการโดยรวมอยู่ที่ 8-9% จากปีก่อนเติบโต 7.2% โดยธุรกิจโมบายล์คาดเติบโตรายได้อยู่ที่ 13-17% จากปีก่อนเติบโต 13% ธุรกิจบรอดแบนด์เติบโต 21-23% จากปีก่อนเติบโต 21% และธุรกิจเคเบิลทีวี คาดเติบโต 7-9% จากปีก่อนเติบโต 3%

นอกจากนี้ ในปี 2557 บริษัทกำลังพิจารณานำสินทรัพย์อื่น เช่น เสาโทรคมนาคม และไฟเบอร์ ออพติก ขายเข้ากองทุน TRUEIF เพิ่มเติมในเฟส 2 อีกทั้งยังมีผู้ประกอบการโทรคมนาคมอีก 3 รายจะนำสินทรัพย์เข้ามาขายในกองทุน TRUEIF ด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ทางกองทุนฯอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการดังกล่าว ดังนั้นก็จะทำสินทรัพย์ของกองทุนฯเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันกองทุนฯมีสินทรัพย์อยู่ที่ 5.8 หมื่นล้านบาท

ส่วนงบลงทุนในปีนี้อยู่ที่ 2.65 หมื่นล้านบาท แบ่งลงทุนในธุรกิจโมบายล์ 1.55 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายโครงข่าย 3G บนคลื่น 2100MHz เพิ่มเป็น 6,000 สถานีฐาน และ 4G LTE อีก 2,000 สถานีฐานในกรุงเทพฯ และหัวเมือง 15 จังหวัดที่จะให้บริการได้ในสิ้นไตรมาส 1/2557 อีกทั้งลงทุนในธุรกิจบรอดแบนด์จำนวน 1 หมื่นล้านบาท ขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น และลงทุนในธุรกิจทรูวิชั่นส์รวมทีวีดิจิตอลอีก 1 พันล้านบาท

ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะหาพันธมิตรธุรกิจเข้ามาถือหุ้น TRUE ไม่เกิน 25% โดยการเพิ่มทุนใหม่ ซึ่งขณะนี้ได้มีผู้สนใจเข้ามาเจรจาหลายรายจากทุกทวีป คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทโทรคมนาคมเท่านั้นหรือภูมิภาคใด แต่บริษัทต้องการพันธมิตรที่มีความรู้ และเสริมสร้างซึ่งกันและกัน รวมทั้งมีความแข็งแกร่งด้านทางเงินด้วย

นายนพปฏล เดชอุดม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน TRUE กล่าวว่า บริษัทมีแผนล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 6.48 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจจะเป็นการลดทุนโดยการลดพาร์จาก 10 บาท แต่การดำเนินการลดทุนจะต้องเจรจากับพันธมิตรก่อนว่าจะดำเนินการก่อนที่พันธมิตรใหม่จะเข้ามาร่วมทุนไม่เกิน 25% หรืออาจจะทำในคราวเดียวกันที่เพิ่มทุนขึ้นอยู่กับการเจรจา อย่างไรก็ตามหากมีการล้างขาดทุนสะสมครั้งเดียวก็มีความเป็นไปได้สูงว่า บริษัทก็จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้

“หากบริษัทสามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมดภายในปีนี้ และมีกระแสเงินสดเหลือก็อาจจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ และถ้าจะปันผลก็จะต้องล้างขาดทุนในครั้งเดียว ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง แต่ขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วย” นายนพปฏล กล่าว



มูดี้ส์ปรับลดเครดิตเรตติ้ง
มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือเครือบริษัทของบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE และลดอันดับความน่าเชื่อถือเครือบริษัท และอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกันของบริษัททรูมูฟลงสู่ระดับ Caa1 จากระดับ B3 โดยแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในเชิงลบ การจัดอันดับความน่าเชื่อถือครั้งนี้เป็นการสรุปผลการทบทวนปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือที่มูดี้ส์ได้เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2556

"การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ สะท้อนถึงภาวะธุรกิจ และการเงินที่เปราะบางของ TRUE แม้ว่าบริษัทได้ทำการปรับลดระดับหนี้ลง ด้วยการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจัดตั้งขึ้นในไตรมาส 4 ของปี 2556" นายโยชิโอะ ทากาฮาชิ ผู้ช่วยรองประธานและนักวิเคราะห์ของมูดี้ส์กล่าว

ขณะที่หนี้รวมของ TRUE ลดลงสู่ 9 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี2556 จาก 1.13 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนก.ย. 2556 แต่ระดับหนี้ของ TRUE ก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 แสนล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ เมื่อพิจารณาจากกระแสเงินสดที่ติดลบอย่างต่อเนื่อง

มูดี้ส์คาดว่ากระแสเงินสดที่ติดลบของ TRUE ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก (1) ผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ (2) การลงทุนขนาดใหญ่ที่กำลังดำเนินอยู่ในการให้บริการธุรกิจ 3G และ 4G (3) แนวโน้มการจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นหลังจากการประมูลคลื่นความถี่ 1.8 กิกะเฮิรตซ์ในปีนี้

ขณะเดียวกัน หนี้ระยะสั้นของ TRUE มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมถึงหุ้นกู้มูลค่า 10.7 ล้านดอลลาร์ (353 ล้านบาท) ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 1 ส.ค.ปีนี้ ขณะที่การถือครองเงินสด ณ เดือนธ.ค. 2556 อยู่ที่ระดับรวม 1.5 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น TRUE จึงมีแนวโน้มที่จะยังคงต้องพึ่งพาการกู้ยืมจากธนาคารในประเทศ รวมถึงการเบิกจ่ายเงินจากวงเงินกู้ที่ยังไม่มีการเบิกถอน และระดมทุนจากตลาดหุ้นกู้สกุลเงินบาทเพื่อลดช่องว่างทางการเงินถึงแม้ธนาคารไทยหลายแห่ง และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทได้ให้การสนับสนุน TRUE แต่มูดี้ส์ก็เชื่อว่าผลการดำเนินงาน และภาวะทางการเงินที่อ่อนแอของ TRUE ได้ทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าการสนับสนุนที่แข็งแกร่งดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไปหรือไม่

แนวโน้มเชิงลบสะท้อนมุมมองของมูดี้ส์ที่ว่า ถ้าไม่มีการปรับโครงสร้าง และไม่มีมาตรการเพิ่มทุนครั้งใหญ่ ผลการดำเนินงานและภาวะทางการเงินของ TRUE จะยังคงเปราะบางต่อไป เมื่อพิจารณาจากกระแสเงินสดที่ติดลบมาเป็นเวลานาน, ภาระหนี้ที่ระดับสูงและการทำผิดสัญญาที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งราคาหุ้นที่ตกต่ำ

โดยเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือในเชิงลบดังกล่าว การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทจึงไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในระยะใกล้ อย่างไรก็ดี แนวโน้มเชิงลบดังกล่าวอาจพลิกกลับมาสู่ระดับมีเสถียรภาพได้ ถ้าบริษัททำการปรับปรุงภาวะทางการเงินและสภาพคล่องขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยการ (1) ปรับปรุงผลกำไร และกระแสเงินสด (2) ลดภาระหนี้ (3) ฟื้นราคาหุ้น (4) ปฏิบัติตามข้อตกลงทางการเงิน โดยมาตรวัดที่มูดี้ส์จะพิจารณาได้แก่ การดำรงสัดส่วนหนี้/กำไรก่อนรายการดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ที่ปรับปรุงแล้วให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 6.0-6.5 เท่าเป็นเวลาระยะหนึ่ง และให้กระแสเงินสดติดลบอยู่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาทถึง 1.0 หมื่นล้านบาท

ขณะเดียวกันแรงกดดันในช่วงขาลงต่ออันดับความน่าเชื่อถืออาจเกิดขึ้น ถ้ากระแสเงินสดติดลบของบริษัทไม่มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ กระทบความสามารถของบริษัทในการขอสินเชื่อจากธนาคารในประเทศและระดมทุนจากตลาดพันธบัตร หรือถ้าบริษัทไม่สามารถได้รับการยกเว้นสำหรับข้อตกลงทางการเงิน

posted from Bloggeroid

RMLกลับมาโชติช่วง กำไรปีนี้เฉียดพันล้าน :โชว์แบ็กล็อก 1.3 หมื่นล้านหนุนรายได้พุ่ง

ข่าวหุ้น - กระบอกเสียงอิสระแห่งตลาดทุน:: RMLกลับมาโชติช่วง
กำไรปีนี้เฉียดพันล้าน
:โชว์แบ็กล็อก 1.3 หมื่นล้านหนุนรายได้พุ่ง
ข่าวหน้าหนึ่ง วันศุกร์ที่ 07 มีนาคม 2557
ผู้เข้าชม : 8 คน
"ไรมอนแลนด์" มั่นใจปีนี้รายได้และกำไรสุทธิโตกว่าปีก่อน เหตุมีแบ็กล็อกรอบุ๊ครายได้กว่า 1.3หมื่นล้านบาท เล็งล้างขาดทุนสะสม 714 ล้านบาทหมดในปีนี้ ฟากโบรกฯเชียร์ "ซื้อ" เป้าราคา 1.58 บาท คาดปีนี้กำไร 947 ล้านบาท โต 27%



นางสาวนุช กัลยาวงศา ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน (CFO) บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 2557 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีการเติบโตมากกว่าปี 2556 ที่มีรายได้รวม 5,765.69 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 746.27 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ประมาณ 13,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากยอดขายคอนโดมิเนียมโครงการเดอะริเวอร์ โครงการ 185 ราชดำริ โครงการซายร์ วงศ์อมาตย์ โครงการ ยูนิกซ์ เซาท์พัทยา และโครงการล็อฟท์เอกมัย โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2557-2559

สำหรับรายได้ในปี 2557 ส่วนใหญ่จะมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนห้องชุด 185 ราชดำริ และโครงการเดอะริเวอร์ที่ส่วนเหลือ รวมทั้งอาจจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการซายร์ วงศ์อมาตย์บางส่วนในช่วงไตรมาสที่ 4/2557

ทั้งนี้ โครงการ 185 ราชดำริ มีมูลค่าโครงการอยู่ที่ประมาณ 10,000ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายอยู่ที่ 85% ของจำนวนห้องชุดทั้งหมด โดยตั้งแต่เดือนมีนาคม 2557 นี้ จะเริ่มต้นการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้แก่ลูกค้า และจะมีการรับรู้รายได้เข้ามาในงบการเงินไตรมาส 1/2557 นี้ด้วย ขณะที่โครงการเดอะริเวอร์คาดว่าจะมีการรับรู้รายได้จากการโอนเข้ามาประมาณ 400-500 ล้านบาท ส่วนโครงการซายร์ วงศ์อมาตย์ คอนโดมิเนียมหรูริมหาดวงศ์อมาตย์ในพัทยามียอดขายแล้ว 90% ของจำนวนห้องชุดทั้งหมด คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมโอนได้ในช่วงไตรมาสที่ 4/2557

นอกจากการสร้างรายได้จากการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ แล้ว ในปี 2557 บริษัทจะหันมาเน้นการสร้างรายได้ประจำมากขึ้น โดยจะเริ่มต้นที่จะมีการเปิดบริการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ให้เช่า ซึ่งอยู่บริเวณพื้นที่เดียวกับโครงการเดอะริเวอร์ จำนวน 92 ห้อง ซึ่งจะเปิดให้เช่าในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้ โดยจะคิดราคาค่าเช่า 40,000-70,000 บาท/เดือน โดยต้องเช่าอย่างน้อย 1 เดือน จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือพำนักอยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีรายได้ค่าเช่าจากโครงการวิวมอลล์ เป็นคอมมูนิตี้ช็อปปิ้งมอลล์ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าโครงการเดอะริเวอร์ด้วย

นางสาวนุช กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่บริษัทจับตลาดอยู่ ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสถานการณ์การเมืองไม่สงบ โดยลูกค้ายังมีกำลังซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พิสูจน์ได้จากยอดขายโครงการของบริษัทที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มลูกค้าตลาดบน ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทยังมีความต้องการในการซื้อที่อยู่อาศัย และมีกำลังซื้อที่ยังสูงอยู่ ยกตัวอย่างโครงการ 185 ราชดำริ ที่กำหนดให้มีการวางเงินดาวน์สูงถึง 40% ของราคาห้องชุด โดยลูกค้าที่ซื้อ 70% เป็นคนไทย และ30% เป็นต่างชาตินั้น ลูกค้าเกือบทั้งหมดยังเดินทางมาตรวจสอบห้องชุด และพร้อมที่จะโอนตามแผน ไม่มีรายใดขอยกเลิกหรือชะลอไป จึงพิสูจน์ได้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทยังมีเงินและมีกำลังซื้อที่สูง เพราะราคาเฉลี่ยที่ขายอยู่ที่ประมาณ 30-40 ล้านบาท/ยูนิต

นอกจากนี้ ในปี 2557 บริษัทมีแผนที่จะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 713.57 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 ให้หมดภายในปี 2557 นี้ โดยจะนำผลกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยมาล้างขาดทุนสะสมได้ ส่วนจะจ่ายเงินปันผลได้ภายในปี 2557 หรือไม่นั้น คงต้องอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการบริหารของบริษัทต่อไป

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น RML กำหนดราคาพื้นฐาน 1.58 บาท คาดจากกำหนดโอนของยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะโอนปี 2557 จำนวน 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 1.35 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการ The River เป็นการโอนต่อเนื่องจากปีก่อน ล่าสุดมี Backlog 2.6 พันล้านบาท โครงการ 185 ราชดำริ ล่าสุดสร้างเสร็จ เริ่มโอนแล้วมี Backlog แล้ว 8.5 พันล้านบาท และโครงการ Zire วงศ์อำมาตย์ พัทยา กำลังก่อสร้าง คาดโอนได้ในครึ่งหลังปี 2557 ล่าสุดมียอดจอง 2.4 พันล้านบาท จากมูลค่าโครงการทั้งหมด 3 พันล้านบาท

โดยคาดหมายยอดโอนปี 2557 จะเติบโต 32% เป็น 7.4 พันล้านบาท โดยมาจากการโอนต่อเนื่องของโครงการ The River ราว 1.6 พันล้านบาท, คาดหมายการโอน 4.8 พันล้านบาทจาก 185 ราชดำริ (ราว 50% ของ Backlog โครงการ 185 ราชดำริ) และการโอน 1 พันล้านบาทจาก Zire ราชดำริ ส่วนกำไรสุทธิในปี 2557 คาดว่าจะอยู่ที่ 947 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง 27% จากปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิ 746 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม โครงการของ RML มักจะเป็นโครงการหรูตลาดบน ลูกค้าจะใช้เวลานานในการตรวจห้องมากกว่าโครงการระดับล่าง ทางฝ่ายจึงคาดหมายการโอนราว 50% จาก Backlog ในเวลาเดียวกัน เชื่อว่า RML มีคุณภาพ Backlog ที่ดี โอกาสยกเลิกการจองน้อย เพราะลูกค้าเป็นผู้จองที่อยู่จริงหรือซื้อเพื่อการลงทุน อีกทั้งมีกำหนดอัตราการวางดาวน์สูง25-30% ดังนั้น ผู้จองจะมีต้นทุนการยกเลิกการจองสูง ในเวลาเดียวกันทางฝ่ายคาดหมาย Margin อ่อนลงสู่ระดับปกติ โดยไม่คาดหมายว่าจะมีรายการปรับปรุงต้นทุนอย่างปีก่อน

posted from Bloggeroid